เมื่อมีผู้กล่าวหา
“รัฐละเมิดสิทธิเสรีภาพ” กีดกันภาษามลายู
นับจากวันที่มีการเรียกขานว่าโจรกระจอก
จนสถาปนาตัวเองเป็นกลุ่มขบวนการ ตั้งตนเป็นตัวแทนชาวปาตานี
หลายกลุ่มก้อนไม่อยากตกขบวนในการพูดคุยสันติภาพระหว่างรัฐไทยกับแกนนำ BRN ที่ตั้งเงื่อนไขเรียกร้องสิทธิความเป็นเจ้าของคืน กล่าวหาว่าภาครัฐ ลิดรอนสิทธิเสรีภาพทุกรูปแบบ
นับจากการเกิดปัญหาเหตุความไม่สงบในพื้นที่
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ต้นปี 2547 เป็นต้นมา
งบประมาณได้หลั่งไหลมาสู่พื้นที่แห่งนี้อย่างไม่ขาดสาย กับโครงการต่างๆ
ที่หลายหน่วยงานได้ทุ่มเท เพื่อแก้ปัญหาทุกมิติให้ครอบคลุมตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่
วันนี้ข้อเรียกร้องเริ่มดังถี่ขึ้น บ่อยขึ้น มีการจัดตั้งกลุ่มองค์กร
แอบอ้างเป็นตัวแทนประชาชนทำงานเพื่อสังคม สร้างอำนาจต่อรองกับหน่วยงานภาครัฐ
เลยเถิดไปถึงข้อเรียกร้องเรื่องอัตลักษณ์ วิถีชีวิตความเป็นอยู่กล่าวหารัฐลิดรอนสิทธิเสรีภาพ
ประเทศไทยมีประชากร
65 ล้านคนเศษ ในแต่ละภูมิภาคจะมีอัตลักษณ์ ประเพณี วัฒนธรรม ที่แตกต่างกันออกไป
มีความหลากหลายด้านชาติพันธุ์ ประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่สลับซับซ้อน
แต่ไม่เคยมีปัญหาการลุกขึ้นมาเรียกร้องที่มาของภูมิหลัง เหมือนดั่งเช่นชาวปาตานีแห่งนี้
สำหรับหัวเมืองทางปักษ์ใต้
เมื่อเหตุการณ์คุกกรุ่น เกิดความขัดแย้ง มีกลุ่มคนที่คิดเห็นต่างจากรัฐ
ได้เดินเกมส์เล่นยุทธวิธีทางทหารก่อเหตุสร้างสถานการณ์
ควบคู่กับการทำงานทางการเมืองปลุกปั่นมวลชน หาแนวร่วม ขุดผีความเป็น “ชาติปาตานี”
มาหลอกหลอนผู้คน
เขียนประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่เพื่อสั่งสอนลูกหลานให้จงเกลียดจงชังรัฐไทย
ที่ผ่านมา
มีการเรียกร้องให้มีการก่อตั้งสถาบันภาษามลายูขึ้น
รัฐท่านใจดีเหลือหลายที่พี่น้องมุสลิมขออะไรได้หมด ดำเนินการให้อย่างไม่รอรี เมื่อได้คืบจะเอาศอกไม่มีความพอดี
มีการเรียกร้องให้รัฐออกกฎหมายรับรองให้ภาษามลายูเป็นภาษาหนึ่งของชาติ
สำหรับคนที่กล่าวอ้างว่า เป็นชาวมลายูปาตานี กล่าวหารัฐกีดกัน ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ
หลอกหลอนเงาตัวเองว่ารัฐกำลังจ้องมองอริยบถในการจัดกิจกรรมสาธารณะ
กล่าวหาตำราศาสนาถูกกวาดล้างทำลาย ห้ามใช้ภาษามลายูในโรงเรียนและสถานที่ราชการ
น่าขำสิ้นดีนี่หรือวิธีคิดที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แล้วการจัดตั้งสถานีวิทยุโทรทัศน์
และวิทยุกระจายเสียงภาคภาษามลายู ซึ่งทำการออกอากาศตลอด 24 ชั่วโมง
ใครก็ได้ช่วยตอบที นี่หรือ???....คือการกีดกัน ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ และห้ามไม่ให้มีการใช้ภาษามลายู
อยากจะถามว่า
ขอบเขตความพอดีมันอยู่ตรงไหน เมื่อไหร่ข้อเรียกร้องที่ได้ไปจะจบสิ้น
ทุกวันนี้สิ่งที่ชาวปาตานีได้รับมากมายกว่าประชากรในพื้นที่อื่นของประเทศ
กับอภิสิทธิชนในหลายด้านที่ชาวมลายูแห่งนี้ได้รับ
ซึ่งผู้เขียนเองมานั่งหลับตามองภาพการเดินทางไปประชุมเสวนาบังหน้าที่หน่วยงานภาครัฐจัดให้
โดยมีการไปทัศนศึกษาดูงานทั้งในและต่างประเทศ
สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปคนแล้วคนเล่า
นี่คือประสบการณ์ของใครอีกหลายคนในประเทศนี้ที่ยังไม่มีโอกาสได้ลิ้มลอง
การมีพหุวัฒนธรรมเป็นข้อดีของพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
เพื่อให้ดำรงอยู่คู่กับดินแดนแห่งนี้ การที่จะสูญสิ้นเสื่อมสลาย
ไม่ได้เกิดจากการถูกกลืนอัตลักษณ์และชาติพันธุ์
แต่เกิดจากการกระทำของคนในพื้นที่เองที่ปรับตัวให้เข้ากับโลกสมัยใหม่
กับการเปลี่ยนไปของโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ไร้พรหมแดน
อีกไม่นานจะเข้าสู่สังคมอาเซียนจะเกิดการหลั่งไหลทางวัฒนธรรม
หากพหุทางสังคมเสื่อมถอยกับการอยู่ภายใต้หลังคาแห่งเมืองพุทธ
แล้วประเทศเพื่อนบ้านของเราละที่มากมายด้วยประชากรที่มีความต่างด้านเชื้อชาติ
ศาสนา ไม่เห็นมีปัญหาในการที่จะอยู่ร่วมกัน
สุดท้ายข้อเรียกร้อง
“ปาตานีมลายู” จะดังถี่ขึ้น
ถี่ขึ้นตราบใดที่คนเหล่านี้คอยตั้งแง่และเงื่อนไขไม่มีวันจบสิ้น....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น