พล.อ.ตันศรี
ดาโตะซรี ซุลกีฟลีฯ มั่นใจบีอาร์เอ็นบนโต๊ะพูดคุย คือตัวจริง
พล.อ.ตันศรี
ดาโตะซรี ซุลกีฟลี ไซนัล อะบิดิน ผู้อำนวยความสะดวกกระบวนการพูดคุยคนใหม่
ที่รัฐบาลมาเลเซียแต่งตั้ง โดย “ตันศรี ซุลกีฟลี”
เป็นอดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดของมาเลเซีย และทำงานด้านวิชาการมาก่อน
“ตันศรีฯ” มั่นใจบีอาร์เอ็นบนโต๊ะพูดคุย “ตัวจริง” หลังจบการพูดคุยแบบเต็มคณะครั้งที่
6 เมื่อ 22 ก.พ.2566 (ที่ผ่านมา) “ตันศรี ซุลกีฟลี”
ก็เดินทางเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ และได้พบปะ พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็น รวมถึง “รับฟัง”
ข้อมูล ความรู้สึกจากกลุ่มคนมากมาย ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ และภาคประชาชน
รวมถึงพี่น้องชาวไทยพุทธ
มีภาพ
“ตันศรี ซุลกีฟลี” เดินทางไปวัดช้างให้ จ.ปัตตานี
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพศรัทธาสูงสุดของชาวพุทธทั้งในและนอกพื้นที่
เพื่อให้เห็นภาพการสนับสนุน “พหุวัฒนธรรม”
“ตันศรี ซุลกีฟลี” ให้สัมภาษณ์หลายครั้งระหว่างอยู่ในพื้นที่ชายแดนใต้
ครั้งหนึ่งแสดงความมั่นใจว่า คณะพูดคุยฝ่ายบีอาร์เอ็น คือ “ตัวจริง”
ที่ควบคุมสถานการณ์ได้
“ผมเองได้พูดคุยกับผู้นำเหล่านี้ ซึ่งดูจะค่อนข้างมั่นใจว่าจะควบคุมได้" เขากล่าวถึงผู้นำบีอาร์เอ็นบนโต๊ะพูดคุย
เมื่อถามว่าหมายถึงขบวนการบีอาร์เอ็นหรือไม่
คำตอบของ “ตันศรี ซุลกีฟลี” ก็คือ... “ผมคงต้องพูดว่าใช่
มันมีท่าทีที่ค่อนข้างเป็นบวก
เรามาช่วยกันสวดมนต์ตามความเชื่อที่เรามีให้พระผู้เป็นเจ้าตอบรับในสิ่งที่เราได้ร้องขอไป"
ห้วงเวลาที่
“ตันศรี ซุลกีฟลี” อยู่ในพื้นที่ชายแดนใต้ คือระหว่างวันที่ 28 ก.พ. ถึง 4 มี.ค.2566 เกิดเหตุรุนแรงแทบทุกวัน
- 2
มี.ค.2566 คนร้ายขว้างระเบิดไปป์บอมบ์ถล่มฐานปฏิบัติการ ร้อย ทพ.4906 อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส
- 3
มี.ค.2566 คนร้ายลอบวางระเบิดรถยนต์ของคณะรองแม่ทัพภาค 4
เจ้าหน้าที่อีโอดีทหารเสียชีวิต 2 นาย
- 4
มี.ค.2566 คนร้ายลอบขว้างไปป์บอมบ์ถล่มฐานทหารพราน อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะมาจากสาเหตุใด
หรือแสดงว่ากองกำลังในพื้นที่แข็งแกร่งจริงหรือไม่ ย่อมหาคำตอบยาก
แต่สิ่งที่ทำให้คนทั่วไปรู้สึกแน่ๆ
ก็คือ เหตุการณ์ร้ายสะท้อนถึงสถานการณ์ภาพรวมของชายแดนใต้ที่น่าจะ “สงบยาก”
เพราะแม้ “คนกลาง” ที่จะช่วยในกระบวนการพูดคุยสันติสุขกับ “กลุ่มบีอาร์เอ็น”
พำนักและทำกิจกรรมอยู่ในพื้นที่ ก็ยังมีบางกลุ่มออกมาก่อเหตุท้าทาย และแสดงศักยภาพว่าพวกตนยังมีกำลังคน
กำลังอาวุธ และก่อเหตุรุนแรงขนาดใหญ่ได้ตลอดเวลา
ต้องไม่ลืมว่าเหตุการณ์เมื่อวันที่
3 มี.ค.2566 เป็นการลอบวางระเบิดขบวนรถของแม่ทัพภาคที่ 4 และผู้สูญเสีย 1 ใน 2
นายเป็นนายทหารยศพันตรี
เชื้อไฟที่ปลายด้ามขวานถูกดับแล้วจริงหรือ?
แม้จะมีคำพูดสวยหรูอธิบายเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างทางของกระบวนการสันติภาพว่าเป็นเรื่องธรรมดา
แต่หากพิจารณา “สารัตถะ” ที่แท้จริงของปัญหาไฟใต้
จะพบว่ายังแทบมองไม่เห็นจุดจบจากสถานการณ์ปัจจุบันเลย เพราะ
1. ประชาชนในพื้นที่จำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะที่เป็นชาวมลายูมุสลิม
ยังไม่ยอมรับเจ้าหน้าที่รัฐ และไม่เห็นด้วยกับแนวทางการแก้ปัญหาที่ดำเนินการอยู่
คือ ใช้กำลังทหาร ใช้กฎหมายพิเศษ
ควบคู่ไปกับการพัฒนาผ่านโครงการเมกะโปรเจคขนาดใหญ่ที่มุ่งเรื่องเศรษฐกิจมหภาคเป็นหลัก
2. ความรู้สึกของประชาชน
โดยเฉพาะชาวมลายูมุสลิมที่มองรัฐไทยยังไม่ดีขึ้นมากนัก หรืออาจไม่ดีขึ้นเลย
สืบเนื่องจากขบวนการไอโอ (ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร) ที่สาดเข้าใส่กันทั้งสองฝ่าย
และหลากหลายวิธี
3. ข้อเรียกร้องหรือความต้องการเกี่ยวกับการ “คงอัตลักษณ์มลายูมุสลิม”
ยังแบ่งเป็นหลายระดับ หลายเฉดสี ไม่ได้เป็นเอกภาพ
และยังคงถูกมองแง่ลบจากคนไทยในภูมิภาคอื่น
ซึ่งไม่ได้จำกัดเฉพาะกลุ่มอนุรักษ์นิยมเท่านั้น
4. วงจรความรุนแรงในพื้นที่ยังคงถูกขยายออกไป และซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งกลุ่มคนที่ก่อเหตุ และแรงจูงใจในการกระทำ
ข้อมูลจากฝ่ายบีอาร์เอ็นเองก็เคยยอมรับว่า
ไม่สามารถควบคุมกองกำลังในพื้นที่ได้ทั้งหมด
แต่อ้างว่าเป็นเพราะมีบางเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดจากกลุ่มของพวกเขา
ทั้งที่ในความเป็นจริง
บีอาร์เอ็นอาจสูญเสียการควบคุมกองกำลังบางส่วนไปแล้วก็เป็นได้
นี่คือปัญหาพื้นฐานที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
หนำซ้ำบางข้อยัง “แตกแยก และแตกต่าง” มากขึ้นไปอีก
สืบเนื่องจากแนวทางแก้ไขปัญหาแบบ “ใช้ไม้แข็ง” ของรัฐ และใช้ “การทหารนำการเมืองและความยุติธรรม”
(ซึ่งแน่นอนว่า ความยุติธรรมก็มีหลายระดับ หลายเฉดสี อีกเช่นกัน
ขึ้นอยู่กับว่าเป็นความยุติธรรมของใคร)
6
ประเด็นที่ยังมองไม่เห็น...แสงสว่างปลายอุโมงค์
เมื่อสถานะของปัญหาที่แท้จริงยังเป็นเช่นนี้
สิ่งที่ถูกมองว่าเป็นความคืบหน้าอย่างสำคัญของการพูดคุยแบบเต็มคณะ ครั้งที่ 6
โดยเฉพาะการเปิดกว้างให้กลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนกลุ่มอื่นเข้าร่วมโต๊ะพูดคุยด้วยนั้น
กลายเป็นคำถามว่าส่งผลดีต่อสถานการณ์จริงหรือไม่
อดีตหัวหน้าหน่วยงานด้านความมั่นคงระดับประเทศ
ซึ่งปัจจุบันยังทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของรัฐบาล และฝ่ายความมั่นคง ตอบแบบตรงๆ ว่า
“ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ และจะทำให้เราเสียเปรียบมาก”
เหตุผลที่หยิบยกมาอธิบายก็คือ
1. การพูดคุยรอบนี้
ไทยและมาเลเซียดูจะเร่งรีบให้เห็นผลเป็นรูปธรรมก่อนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
เพราะไทยกำลังจะเลือกตั้ง ขณะที่การเมืองในมาเลเซียเองก็เปราะบาง
เนื่องจากรัฐบาลมีเสียงในสภาไม่มากพอจะเป็นหลักประกันได้ว่าจะอยู่ได้นานมากน้อยเพียงใด
2. การทำความตกลงที่จะเชิญกลุ่มเห็นต่างอื่นๆ เข้าร่วมด้วย
สุดท้ายคงหนีไม่พ้นกลุ่ม “มารา ปาตานี”
ซึ่งเคยมีปัญหาเกี่ยวกับข้อเรียกร้องบางข้อที่เสนอในช่วงที่ยังพูดคุยกันอยู่
และตกลงกันไม่ได้ จนโต๊ะพูดคุยล้มไป
ส่วนฝ่ายบีอาร์เอ็นก็รอจังหวะนำข้อเรียกร้องเดิม
5 ข้อ ที่ยื่นสมัยโต๊ะพูดคุยในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (ปี 2556-2557)
มาเป็นส่วนสำคัญในข้อตกลงใหม่ของโต๊ะพูดคุยรอบนี้ ซึ่งข้อตกลงทั้ง 5 ข้อถือว่า “แข็งกร้าว” และยากที่จะสร้างฉันทามติร่วมกันได้
3. ทิศทางของโต๊ะพูดคุยจะมีการเปิดโอกาสให้องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนเข้ามาร่วมหารือด้วย
ซึ่งองค์กรเหล่านี้ส่วนใหญ่ยืนอยู่ข้างกลุ่มแบ่งแยกดินแดนทั้งสิ้น
4. มีประเด็นที่ฝ่ายบีอาร์เอ็นเรียกร้องในขณะนี้ คือ
ขอให้ไทยเปิดโอกาสให้ตัวแทนฝ่ายบีอาร์เอ็นเข้ามาพบปะกับประชาชนในพื้นที่ชายแดนใต้ได้
เรื่องนี้เป็น “จุดเปราะบางอย่างสำคัญ”
เพราะจะทำให้แกนนำของขบวนการที่เคลื่อนไหวในประเทศ กับแกนนำที่พำนักในมาเลเซีย
สามารถผนึกเป็นหนึ่งเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้คนในพื้นที่กับแกนนำว่าสามารถเข้ามามีบทบาทได้
จนเกิดความฮึกเหิม พูดให้ชัดก็คือ
จะทำให้ฝ่ายไทยสูญเสียความได้เปรียบด้านการปกครองพื้นที่
นอกจากนั้นยังมีประเด็นข้อกฎหมายว่า
การเปิดโอกาสให้แกนนำบีอาร์เอ็นที่มีหมายจับเดินทางเข้าพื้นที่
โดยมีเจ้าหน้าที่ไทยช่วยอำนวยความสะดวกนั้น
จะใช้อำนาจจากกฎหมายฉบับใดไปเป็นข้อยกเว้นให้ผู้กระทำทำผิดอาญาเหล่านั้นได้
5. ประเด็นการพูดคุยและการเตรียมการของฝ่ายการเมืองที่เป็นองค์กรหน้าฉากของบีอาร์เอ็น
เป้าหมายแรกคือการทำให้จังหวัดชายแดนภาคใต้กลายเป็น “เขตปกครองพิเศษ”
ซึ่งฝ่ายไทยอาจคิดว่าจบ เพราะระยะหลังๆ ก็เริ่มมีการพูดเรื่องนี้หนาหูมากขึ้น
แม้แต่คนในคณะพูดคุยซึ่งเป็นตัวแทนรัฐบาลไทยเอง
แต่ฝ่ายบีอาร์เอ็นมองอีกด้านหนึ่งว่า
“เขตปกครองพิเศษ” คือก้าวแรกที่จะนำไปสู่การลงประชามติเพื่อแบ่งแยกดินแดน
6. ผู้อำนวยความสะดวกกระบวนการพูดคุย
ควรทำหน้าที่เพียงแค่นำทั้งสองฝ่ายมาคุยกัน และไม่ควรแสดงความเห็นใดๆ
แต่สำหรับผู้อำนวยความสะดวกของมาเลเซีย กลับแสดงความเห็นถึงแผนการพูดคุยด้วยซ้ำ
ขณะที่
พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 4
ซึ่งเคยมีบทบาทอย่างสูงในกระบวนการพูดคุยเจรจาระหว่างรัฐบาลมาเลเซีย
กับขบวนการโจรจีนคอมมิวนิสต์มลายา กระทั่งสามารถทำข้อตกลงสันติภาพ
และยุติการสู้รบลงได้ ตั้งคำถามว่า สิ่งที่ได้จากการพูดคุยที่ผ่านมาทั้งหมด
เป็นความคืบหน้าแน่หรือ ปัญหานี้จะจบลงเมื่อใด และจุดหมายปลายทางคืออะไร
เพราะต้องไม่ลืมว่า
แต่ละเดือน แต่ละปี แต่ละการพบปะที่ผ่านไป
ล้วนเป็นงบประมาณซึ่งเป็นเงินภาษีของประชาชนคนไทยทั้งประเทศทั้งสิ้น
(งบของคณะพูดคุยฯ ราวๆ ปีละ 20 ล้านบาท)
พล.อ.อกนิษฐ์
ซึ่งปัจจุบันเป็นสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ยังบอกด้วยว่า
การรวมกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐมาร่วมโต๊ะพูดคุยกับบีอาร์เอ็น ไม่ส่งผลดีอย่างแน่นอน
เพราะนอกจากจะเสี่ยงขัดแย้งกันเองแล้ว ยังคุยจบยาก อาจมีปัญหาเรื่องกลุ่มใดควรมี “บทบาทนำ”
“ทำไมไม่เปิด track 2 track 3 คุยกับกลุ่มอื่นๆ
ไปพร้อมกัน กลุ่มไหนตกลงกับเราได้ ก็ประกาศออกมา
ก็เดินหน้าพัฒนาหรือทำงานร่วมกันไป เพื่อกดดันให้ track 1
เร่งบรรลุข้อตกลง” อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 4 กล่าว
ดูเหมือนมุมมองต่อกระบวนการสันติภาพของฝ่ายไทยเอง
ก็มีหลายระดับ และหลายเฉดสีด้วยเช่นกัน!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น