แจ้งข้อหา ม.116
“5 นศ.-นักกิจกรรม” ประชามติแยกดินแดน
ตำรวจปัตตานีเรียกสอบ
“5 นักกิจกรรม–นักศึกษา” ปมสัมนาประชามติแยกดินแดน พร้อมแจ้งข้อหา “ยุยง
ปลุกปั่น” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 “อาเต๊ฟ”
เชื่อเป็นเสรีภาพในการแสดงออก ด้าน 4 องค์กรสิทธิฯ จี้แม่ทัพภาค 4
ถอนแจ้งความผู้เกี่ยวข้องทุกรายอย่างไม่มีเงื่อนไข
จากกรณีกลุ่มนักศึกษาได้จัดงานเปิดตัว
“ขบวนนักศึกษาแห่งชาติ” หรือ Pelajar Kebangsaan Patani หรือ
Pelajar Bangsa โดยมีการจัดประชามติจำลอง
สอบถามว่าเห็นด้วยกับการใช้สิทธิในการกำหนดอนาคตของตนเอง หรือ Self
Determination หรือไม่ เพื่อให้ประชาชนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ซึ่งกลุ่มผู้จัดกิจกรรมเรียกว่า “ชาวปาตานี”
สามารถออกเสียงประชามติแยกตัวเป็นเอกราชได้อย่างถูกกฎหมาย
โดยงานดังกล่าวมีนักการเมือง
นักกิจกรรม และนักศึกษาเข้าร่วม เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.66 ที่ห้องประชุมศรีวังสา
ตึกรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (ม.อ.ปัตตานี)
ทำให้ฝ่ายความมั่นคง โดย พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4/ผอ.รมน.ภาค 4
มอบหมายให้ พ.อ.เฉลิมชัย สุทธินวล ผู้อำนวยการสำนักกฎหมายและสิทธิมนุษยชน
(ผอ.สกส.) กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองปัตตานี
เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.66
เพื่อให้ทำการสืบสวนสอบสวนดำเนินการตามกฎหมายกับบุคคลและคณะบุคคลในกิจกรรมที่จัดขึ้นนั้น
ความคืบหน้าล่าสุด
เมื่อเวลา 14.00 น.วันศุกร์ที่ 8 ธ.ค.66 ที่ สภ.เมืองปัตตานี
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เรียกกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรม จำนวน 5 นาย
ประกอบด้วย นายฮากิม พงติกอ อดีตรองเลขาธิการพรรคเป็นธรรม, นายอาเต็ฟ โซ๊ะโก ประธาน The Patani, นายอิรฟาน อุมา
ประธานขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ, นายสารีฟ สะแลมัน
สมาชิกขบวนการนักศึกษาแห่งชาติและ นายอุซเซ็น บือแน สมาชิกขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ
เข้ารับทราบข้อกล่าวหาที่โรงพัก
โดยทั้งหมดได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน
พร้อมกับ นายอาบีบุสตา ดอเลาะ ทนายความ ซึ่งทางเจ้าหน้าได้แยกบุคคลทั้ง 5 ราย
เพื่อสอบปากคำเพิ่มเติมทีละคน แต่ปรากฏว่า มีทนายความไปด้วยเพียงคนเดียว
จึงมีการขอให้ผู้ที่ทั้ง 5 คนไว้วางใจ เข้าร่วมรับฟังด้วย
แจ้งข้อหา
ม.116 ยุยง ปลุกปั่น
ทั้งนี้
เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลาสอบปากคำนานกว่า 3 ชั่วโมงจึงแล้วเสร็จ
จากนั้นได้แจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลทั้ง 5 ในข้อหาเดียวกันคือ
กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116
กฎหมายมาตรานี้
บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา
หนังสือหรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ
หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต
(1)
เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล
โดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้าย
(2)
เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร
หรือ
(3)
เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี”
จากนั้นก็ได้ลงบันทึกประจำวัน
โดยผู้ต้องหาทั้งหมดให้การปฏิเสธ ก่อนจะมีการปล่อยตัวแบบไม่มีหลักประกัน
เพื่อต่อสู้คดีต่อไป
“อาเต๊ฟ”
เชื่อมั่นเป็นเสรีภาพในการแสดงออก
นายอาเต็ฟ
โซ๊ะโก ประธาน The
Patani หนึ่งในผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหา กล่าวว่า
วันนี้เรามารับฟังข้อกล่าวหาจากการที่แม่ทัพภาค 4 ฟ้องพวกเรา เราเชื่อว่า
สิทธิเสรีภาพเป็นเรื่องที่มนุษย์ทุกคนคอยหา และสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เรายืนยันมาตลอด
“ที่จริงแม่ทัพภาค
4 ไม่ใช่คู่กรณีของเรา แม่ทัพภาค 4 เป็นเหยื่อของโครงสร้างที่มีปัญหาของประเทศนี้
และครั้งนี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า
รัฐนี้อยากแสวงหาทางออกจากความขัดแย้งด้วยวิถีทางทางการเมืองอย่างสันติหรือไม่
สอดคล้องกับกระบวนการสันติภาพ สอดคล้องกับเรื่องวาระแห่งชาติที่รัฐนี้ได้พูดถึงหรือไม่
ครั้งนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดี”
นายอาเต็ฟ
กล่าวอีกว่า ปัญหาทั้งหมดไม่ใช่เป็นปัญหาการแสดงสิทธิเสรีภาพ
แสดงความคิดเห็นของเรา แต่เป็นปัญหาและมุมมองของผู้ใช้อำนาจทางกฎหมาย
เป็นปัญหาของวิธีคิดของรัฐที่มีความเป็นอำนาจนิยมสูง
“แท้จริงการหาทางออกที่มีความขัดแย้งที่มีการหักกันด้วยอาวุธ
สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อว่าเป็นจุดร่วมระหว่างเราก็คือ
การดึงทุกฝ่ายไปหาทางออกทางการเมือง
การทำให้ทุกฝ่ายมีทิศทางในการต่อสู้ที่ไม่ทำให้ผู้บริสุทธิ์สูญเสีย
สิ่งนี้ต่างหากที่เป็นทางออกระยะยาวของทุกฝ่าย” ประธาน The Patani ระบุ
ทนายเตรียมยื่นคำให้การเป็นเอกสาร
นายอาบีบุสตา
ดอเลาะ ทนายความ กล่าวว่า หลังจากนี้เราจะยื่นคำให้การเป็นหนังสือ
เพื่อตอบคำถามทั้งหมดของพนักงานสอบสวนที่ได้ตั้งคำถามไปยังบุคคลทั้ง 5 คนในวันนี้
เพราะว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องทางวิชาการทางการเมือง
และเรื่องของสิทธิตามรัฐธรรมนูญ เรื่องกฎหมายระหว่างประเทศ เรื่องของสันติภาพ
ทั้งนี้ก็เพื่อการให้ปากคำเป็นไปอย่างรอบครอบในทุกด้าน ทั้งข้อเท็จจริง ความเห็น
และมุมมองในทุกด้าน
4
องค์กรสิทธิฯ จี้แม่ทัพถอนแจ้งความ
วันเดียวกัน
ทางองค์กรเครือข่ายสิทธิมนุษยชนปัตตานี (HAP) “Patani Human rights Organization
Network” ได้ออกแถลงการณ์ขอให้ยุติการดำเนินคดีนักกิจกรรมปัตตานีทันที
โดยมีเนื้อหาระบุว่า
กรณี
พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค ผอ.รมน.ภาค 4
แจ้งความปิดปากปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกความคิดเห็น กรณีกิจกรรมประชามติจำลอง
เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.66 และในวันนี้ วันที่ 8 ธ.ค.66 เวลา 14.00 น.
นักกิจกรรมชาวปัตตานี 5 คน จะเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาว่า “ร่วมกันกระทำให้ปรากฎแก่ประชาชนด้วยวาจา
หนังสือหรือวิธีอื่นใดอันมิใช่การกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ
หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็น หรือติชมโดยสุจริตฯ”
คดีนี้เป็นคดีที่ทาง
พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 ดำรงตำแหน่ง ผอ.รมน.ภาค 4
แจ้งความดำเนินคดีด้วยตนเอง จากเหตุที่เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.66
กลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
ได้จัดกิจกรรมเพื่อเปิดพื้นที่การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับอนาคตของพื้นที่ชายแดนใต้
จัดให้มีการลงประชามติจำลองกับคำถามว่า
“คุณเห็นด้วยกับสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเองหรือไม่
ที่จะให้ประชาชนปาตานีสามารถออกเสียงประชามติแยกตัวเป็นเอกราชได้อย่างถูกกฎหมาย”
ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวได้มีการเชิญนักการเมืองและประชาชนที่สนใจเข้าร่วมด้วย
แต่ต่อมากลับกลายเป็นประเด็นที่ถูกวิจารณ์โดยหน่วยงานฝ่ายความมั่นคงว่า
หมิ่นเหม่ในการละเมิดรัฐธรรมนูญและกฎหมาย จนนำไปสู่การแจ้งความดำเนินคดีโดย พล.ท
ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 และผอ.รมน.ภาค 4
และปัจจุบันได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้เป็นสมาชิกคณะพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนใต้ชุดใหม่ด้วย
ทางองค์กรสิทธิมนุษยชนตามรายนามนี้
1. มูลนิธิผสานวัฒนธรรม
2.
เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายพิเศษ JASAD
3. องค์กรเครือข่ายสิทธิมนุษยชนปาตานี
- HAP
4. กลุ่มด้วยใจ
ออกความคิดเห็นว่า
กิจกรรมการลงประชามติจำลองเป็นสิทธิในการแสดงออกทางความคิดที่ต้องได้รับการคุ้มครอง
ขอเรียกร้องให้ พล.ท.ศานติ ถอนแจ้งความในทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข
เพื่อให้เกิดบรรยากาศที่ดีในการมีส่วนร่วมในการดำเนินการพูดคุยสันติภาพจังหวัดชายแดนใต้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น