แนวชันสูตรศพมุสลิม ผู้นำศาสนาชี้เป็นสิทธิผู้ดูแลศพ
สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ร่วมกับ สำนักจุฬาราชมนตรี
และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) เปิดตัวหนังสือ
“แนวทางการตรวจชันสูตรพลิกศพ
ตามกระบวนการทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ตามหลักด้านศาสนาอิสลาม”
จากนั้นมีการสัมมนาสร้างความรู้ความเข้าใจและเผยแพร่แนวทางการตรวจชันสูตรพลิกศพ
ตามกระบวนการทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ตามหลักด้านศาสนาอิสลาม โดยมีผู้เข้าร่วมประมาณ
150 คน
นางอมรา
พงศาพิชญ์
ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ในฐานะประธานอนุกรรมการปฏิบัติการยุทธศาสตร์ด้านสิทธิมนุษยชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
แถลงว่า
การศึกษาแนวทางการตรวจชันสูตรพลิกศพตามกระบวนการทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ตามหลักด้านศาสนาอิสลาม
เริ่มตั้งแต่ปี 2549 โดยนายวสันต์ พานิช อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เนื่องจากเห็นว่า
จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการอำนวยความยุติธรรมให้กับผู้ตายและญาติที่เป็นชาวมุสลิม
โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ต่อมาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติชุดใหม่
ได้ดำเนินการต่อ โดยมีการหารือกับสำนักจุฬาราชมนตรี
และสำนักจุฬาราชมนตรีได้ออกคำวินิจฉัยทางศาสนา(ฟัตวา) ที่ 04/ 2549
เรื่องการชันสูตรพลิกศพ สามารถกระทำได้ต่อเมื่อมีความจำเป็นจริงๆ เท่านั้น
นางอมราฯ กล่าวต่อว่า
นอกจากนี้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
เดินทางไปศึกษาหลักการและแนวทางเรื่องนี้ที่ประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซีย
มีการแต่งตั้งคณะทำงาน ประกอบด้วยประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด 5
จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้นำศาสนา นักวิชาการ และนักกฎหมาย มีการประชุม 5 ครั้ง
ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2551 กระทั่งปี 2555
มีการประชุมรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะนักวิชาการศาสนาและนักกฎหมาย
นายอับดุลสุโก
ดินอะ
คณะทำงานร่างแนวทางการตรวจชันสูตรศพตามกระบวนการทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ตามหลักศาสนาอิสลาม
ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า
สาระสำคัญของหนังสือแนวทางการตรวจชันสูตรดังกล่าว อยู่ในหน้า 25 ข้อ 2.2
การชุนสูตรศพ โดยเฉพาะการขุดและการผ่าศพขัดต่อหลักการศาสนาอิสลามหรือไม่
สาระสำคัญในหน้าดังกล่าวระบุว่า
จากการศึกษาไม่พบหลักฐานใดๆ
ที่ระบุชัดเจนถึงการห้าหรืออนุมัติทั้งจากคัมภีร์อัลกุรอานและวจนะศาสดา
ทำให้นักวิชาการปัจจุบันมีทรรศนะที่แตกต่างกัน 2 ทัศนะ
“ทัศนะแรก
ไม่อนุญาตให้ขุดศพและตรวจชันสูตรศพ ด้วยเหตุผลที่ว่า
ศาสนาตั้งอยู่บนพื้นฐานการให้เกียรติและคุ้มครองคุณค่าอันสูงส่งของความเป็นมนุษย์
ทั้งนี้ไม่เพียงแต่ในช่วงแห่งการมีชีวิตอยู่เท่านั้น ในสภาวะไร้วิญญาณ
ศาสนาอิสลามก็ยังคงถือว่าเกียรติยศ และความประเสริฐในการเป็นมนุษย์
ยังมีอย่างสมบูรณ์” สาระสำคัญในหน้าดังกล่าว
“ทัศนะที่สอง
อนุญาตให้ขุดศพและชันสูตรศพ เป็นทัศนะส่วนใหญ่ของนักวิชาการโลกมุสลิมร่วมสมัยว่า
การขุดศพเพื่อชันสูตรที่ได้ฝังไปแล้ว หรือการชันสูตรศพที่เพิ่งเสียชีวิต
แม้เป็นสิ่งต้องห้ามตามมติของปวงปราชญ์ แต่หากสถานการณ์มีความจำเป็น
ก็สามารถทำได้โดยอนุโลม” สาระสำคัญในหน้าดังกล่าว
นายอับดุลสุโกฯ
เปิดเผยว่า สำหรับหนังสือเล่มนี้ในเบื้องต้นบรรดาอุลามาอ์(นักปราชญ์ทางศาสนาอิสลาม)
ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนใหญ่เห็นด้วยในหลักการ แต่มีข้อกังวลคือ
เมื่อมีการชันสูตรพลิกศพมุสลิมแล้ว จะสามารถอำนวยความยุธรรมให้เกิดขึ้นได้หรือไม่
และจะทำให้สามารถนำผิดมาลงโทษได้หรือไม่
นายอับดุลสุโก
กล่าวว่า การนำแนวทางดังกล่าวมาใช้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้
จะสามารถนำความยุติธรรมมาให้ประชาชนได้ และกระบวนการต่างๆตามแนวทางดังกล่าว
จะมีแพทย์มุสลิมที่มีความน่าเชื่อถือเข้ามีส่วนร่วมในกระบวนการชันสูตรด้วย
ด้าน
น.พ.ฟาฏิน อะหะหมัด สาและอารง นายแพทย์ปฏิบัติการโรงพยาบาลศูนย์ยะลา
กล่าวว่า แนวทางการตรวจชันสูตรพลิกศพดังกล่าว มีการเน้นว่า
การชันสูตรพลิกศพมุสลิมสามารถทำได้หรือไม่ได้เท่านั้น
ทั้งที่ยังมีมิติอื่นที่ต้องขับเคลื่อนไปด้วยกัน
คือการสนับสนุนการผลิตแพทย์นิติเวชที่เป็นมุสลิม
และการสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบความยุติธรรมของไทย
นายอิสมาแอล
สะปันยัง หรือ บาบอแอ สะปาแย โต๊ะครูปอเนาะดูซงปันยัง อ.ยะหริ่ง
จ.ปัตตานี กล่าวในการสัมมนาว่า การที่มีทัศนะเรื่องการชัดสูตรศพของอูลามาอ์ เป็นเรื่องธรรมดา
ซึ่งเป็นเรื่องปลีกย่อย เพราะไม่มีตัวอย่างในสมัยศาสดา “กรณีนี้คนที่เห็นด้วยก็มีหลักฐาน
ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยก็มีหลักฐาน
แต่เมื่อสำนักจุฬาราชมนตรีออกคำวินิจฉัยเรื่องนี้แล้ว ใครจะทำตามหรือไม่ทำตามก็ได้
ไม่ได้บังคับ เพราะขึ้นอยู่กับผู้ดูแลศพ หรือญาติที่จะอนุญาตหรือไม่”
บาบอแอ สะปาแย กล่าว
บาบอแอ
สะปาแย
กล่าวอีกว่า อยากรู้ว่าเรียกอูลามาอ์มาร่วมงานครั้งนี้ด้วยทำไม
หากต้องการให้อุลามาอ์มาให้คำตอบว่า
ได้หรือไม่ได้ก็คงต้องเป็นเวทีเฉพาะของอูลามาอ์ แต่ถ้ามีคำวินิจฉัยแล้วก็ไม่จำเป็น
ดร.อับดุลเลาะ
อาบูบากา
ผู้อำนวยการโรงเรียนสมบูรณ์ศาสตร์ อ.ยะหา จ.ยะลา กล่าวว่า
การชันสูตรพลิกมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ต้องมีหลักประกันว่าจะไม่มีการแทรกแซงการทำงานของทีมแพทย์นิติเวช
ที่ทำการชันสูตรพลิกศพ และที่สำคัญสุด
ต้องสนับสนุนให้มีแพทย์นิติเวชที่เป็นมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น