วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2565

การชันสูตรศพจากเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้

 

การตายในทรรศนะอิสลามไม่ได้เป็นความทุกข์ อิสลามถือว่าการตายคือการกลับไปสู่ความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า ความตาย คือ การเปลี่ยนแปลงจากการมีชีวิต ที่พร้อมกับร่างกายด้วยการมีชีวิตในโลกต่อไปเหมือนกับการเกิด เป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตจากการที่ต้องพึ่งร่างกาย ไปสู่การมีชีวิตทีไม่ต้องการร่างกาย จากชีวิตที่ต้องการสิ่งต่างๆ ไปสู่ชีวิตที่ไม่ต้องการอะไรเลย

ความตายตามทรรศนะอิสลาม คือ จุดหมายปลายทางของการเดินทางชีวิตนี้ไปสู่ชีวิตใหม่ความตายเปรียบเสมือนประตูที่ก้าวผ่านจากชีวิตหนึ่งไปสู่อีกชีวิตหนึ่ง ซึ่งเป็นชีวิตนิรันดร์ ความตายทำให้มนุษย์สมบูรณ์


เมื่อได้รับข่าวการตายของพี่น้องมุสลิม มุสลิมจะกล่าวว่า "อินนาลิลลาฮิวะอินนา อิลัยฮิรอญิอูน" (แปลว่า แท้จริงเราเป็นของอัลลอฮ์ และยังพระองค์ที่เราต้องคืนกลับ) หลังจากนั้นก็จะไปเยี่ยมครอบครัวหรือญาติของผู้ตายและร่วมนมาซ(ละหมาด) ศพ ตลอดจนไปส่งศพที่สุสานเพื่อทำการฝังศพ

เมื่อมีการตายเกิดขึ้น อิสลามได้กำหนดจัดการเรื่องฝังศพให้เสร็จเรียบร้อยโดยเร็วและประหยัดที่สุด เพื่อที่จะไม่เป็นภาระแก่คนที่อยู่ข้างหลัง  ผู้ป่วยเสียชีวิต จะต้องหันหน้าศพไปยังนครมักกะฮ์ และชำระล้างทำความสะอาดศพ หลังจากนั้นจะห่อศพด้วยผ้าขาวเพื่อนำไปทำพิธีทางศาสนา และฝังโดยเร็วที่สุด โดยปกติแล้วพิธีการฝังศพของมุสลิมจะเสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุดภายใน 24 ชั่วโมง

ในการปฏิบัติต่อศพนั้น อิสลามได้กำหนดให้ปฏิบัติอย่างนุ่มนวลให้เกียรติ และจะต้องไม่ให้ศพเป็นที่เปิดเผยในสภาพอุจาดหรืออนาจาร ดังนั้นพี่น้องมุสลิมส่วนใหญ่จึงมักไม่ยินยอมให้มีการผ่าพิสูจน์ศพ เพราะจะเป็นเสมือนการทำร้ายศพ นอกจากนั้นแล้ว อิสลามยังไม่อนุญาตให้เผาศพ ด้วยเพราะถือว่าไฟนั้นเป็นสิ่งที่ใช้สำหรับการลงโทษผู้ทำบาปในนรก

สำหรับกรณีการตายเพื่อศาสนานั้น จะไม่มีการอาบน้ำศพ โดยจะฝังศพผู้กล้าในทางศาสนาโดยไม่มีการเปลี่ยนเสื้อผ้าหรืออาบน้ำศพ และห้ามผู้ไม่ใช่มุสลิมแตะต้องศพ ซึ่งส่งผลให้กรณีเหล่านี้มักไม่มีการชันสูตรพลิกศพตามกฎหมาย

ช่องว่างระหว่างนิติวิทยาศาสตร์และศาสนาวัฒนธรรม

การชันสูตรพลิกศพในบริบทของวัฒนธรรมมุสลิมนั้น ยังมีปัญหาความเข้าใจที่ไม่สอดคล้องกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐ และความคิดเห็นความเชื่อของพี่น้องมุสลิมอยู่มาก เช่น ในมาตรฐานในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย หากมีการเสียชีวิตในลักษณะที่เป็นการตายที่ผิดธรรมชาติ กฎหมายได้มีการอนุญาตให้การชันสูตรพลิกศพได้อย่างเต็มที่ และเป็นที่ยอมรับของประชาชนในประเทศ

แต่สำหรับในไทยนั้น เรื่องนี้ยังมีความไม่เข้าใจอยู่สูงมาก การจะชันสูตรพลิกศพได้ จำเป็นต้องขออนุญาตจากญาติก่อนทุกครั้ง ซึ่งเกือบทั้ง 100 % จะไม่ได้รับการอนุญาต ให้ดำเนินการ

อีกทั้ง การจัดการศพในวิถีมุสลิม ซึ่งต้องมีการจัดการศพโดยเร็ว แม้ว่าในอัล-กุรอานจะไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้ชัดเจน แต่ก็เป็นเรื่องที่ถือปฏิบัติกันโดยทั่วไปในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่าศพจะต้องถูกฝังภายใน 24 ชม. หรือหากเสียชีวิตในช่วงเช้าจะต้องฝังก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ซึ่งเป็นแรงกดดันให้ทางภาครัฐ ต้องดำเนินการจัดการกับศพโดยรวดเร็ว เพื่อส่งศพให้ญาติต่อไป

คนมุสลิมมีความเชื่อว่า ร่างกายของคนที่ตายไปแล้ว มีความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนคนเป็น จึงต้องปฏิบัติต่อร่างกายของคนตาย ด้วยความเคารพเหมือนปฏิบัติต่อคนเป็น จะต้องไม่ให้ศพเป็นที่เปิดเผยในสภาพอุจาด  การผ่าศพ (autopsy) จึงเป็นข้อห้ามในศาสนาอิสลาม ยกเว้นในรายที่ต้องชันสูตรพลิกศพ (forensic purpose)

ในประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม สังกัดในสำนักติดชาฟีอีย์ เช่นเดียวกับประเทศไทย ก็พบว่า สามารถชันสูตรพลิกศพ ตามมาตรฐานสากลได้ และถ้าเป็นศพมุสลิมจะเก็บศพไว้ในโรงพยาบาล 3 วัน แต่ถ้าเป็นศาสนาอื่น จะเก็บศพได้ 15 วัน เพื่อรอญาติก่อนดำเนินการตามหลักศาสนาต่อไป

สำหรับการขุดพิสูจน์ศพก็สามารถทำได้ ถ้ามี คำสั่งของศาล เช่นเดียวกับกฎหมายของไทย ตาม ป.วิ.อาญา มาตราที่ 151 - 153 ในเรื่องการชันสูตรพลิกศพนั้นได้มีคำวินิจฉัยทางศาสนา(ฟัตวา) ของจุฬาราชมนตรี ที่ 04/2549 เรื่องการชันสูตรพลิกศพ ที่สามารถทำได้ถ้าจำเป็น เพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีและในทางการแพทย์ก็ตาม

แต่อย่างไรก็ตาม ความเชื่อของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงเห็นว่า ไม่ควรกระทำการชันสูตรพลิกศพด้วยการผ่าศพหรือแม้แต่การกรีดผิวหนัง เพื่อเอาหัวกระสุนที่ตุงอยู่ออกมาประกอบเป็นหลักฐานในการชันสูตรพลิกศพ ในทางปฏิบัตินั้นมิติทางด้านความเชื่อวัฒนธรรม มักมาก่อนนิติวิทยาศาสตร์เสมอ

หัวกระสุน หลักฐานแห่งความหวัง

ในปัจจุบัน สภาพความเป็นจริงของการชันสูตรพลิกศพมุสลิมในพื้นที่ทำได้เพียงการบันทึกบาดแผลภายนอก โดยดูจากบาดแผล หรือรองวิถีของอาวุธ พยายามระบุตำแหน่งไหนเป็นตำแหน่งที่อาวุธเข้า-ออก อาวุธที่ทำอันตรายนั้นเป็นชนิดอะไร โดยเฉพาะกรณีที่ยิงด้วยอาวุธปืน จะต้องระบุว่าเป็นลูกปรายหรือลูกโดด โดยปกติถ้ากระสุนอยู่ลึกมาก แพทย์ต้องขออนุญาตจากญาติเพื่อผ่าตัดเอากระสุนออก

ซึ่งส่วนใหญ่ญาติมักไม่ยินยอม คงทำได้เพียงใช้เหล็กตรงแยงตามรูยิงเพื่อหาทิศทางของอาวุธเท่านั้น สุดท้ายอาจจะทำได้เพียงเอ็กซ์เรย์ เพื่อดูกระสุนหรือเศษสะเก็ดระเบิดตกค้างเท่านั้น โดยไม่มีการผ่าศพ ทำให้การเก็บหัวกระสุนหรือเศษสะเก็ดระเบิดที่ฝังอยู่ในร่างกายไว้เป็นวัตถุพยาน เพื่อหาตัวผู้กระทำผิดต่อไปนั้นเป็นไปได้ยากมาก

สำหรับกรณี หัวกระสุนนั้นจะถูกคาดหวังมาจากตำรวจให้ผ่าเก็บไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งกรณีที่ฝังอยู่บริเวณผิวหนัง แพทย์ก็มักจะดำเนินการผ่าเอาหัวกระสุนออกไว้ให้ แต่หากกระสุนอยู่ลึกก็จะเป็นปัญหาในการนำหัวกระสุนให้กับทางตำรวจ ทั้งนี้เนื่องจากแพทย์ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นแพทย์ทางนิติเวชโดยตรง อีกทั้งการต้องผ่ากระสุนที่ฝังอยู่ลึกต้องเปิดบาดแผลกว้างซึ่งจะเกิดปัญหากับญาติของผู้เสียชีวิตอย่างแน่นอน

ในบางกรณีแม้กระสุนยังตุงอยู่ที่ผิวหนัง แต่ญาติไม่อนุญาตให้ผ่าออกก็เป็นการยากที่แพทย์จะฝืน ตำรวจขอให้ผ่า แต่ญาติไม่อนุญาตและมองตาเขียวอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง แพทย์ส่วนใหญ่ก็จะไม่ผ่าให้ เพื่อความปลอดภัยของแพทย์เองที่ยังต้องอยู่ในชุมชนนั้นๆ ทุกวัน ทำให้ปัญหาการเก็บหลักฐานในเรื่องนี้ยังเป็นปัญหาใหญ่ในพื้นที่

ความยากลำบากของการชันสูตรศพในโรงพยาบาล

การนำศพมาชันสูตรพลิกศพในโรงพยาบาล ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหา ปัญหาที่สำคัญอีกประการหนึ่งของการชันสูตรในโรงพยาบาลคือ ปัญหาทางสังคมอันเนื่องมาจากญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิต มักจะมายืนมุงกันเป็นจำนวนมาก หลายกรณีที่มายืนโดยแจ้งว่าเป็นญาติ มาอยู่ข้างหลังการชันสูตรพลิกศพทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ เหมือนเป็นการกดดันเจ้าหน้าที่กลายๆ การกันญาติไม่ให้เข้ามาในทางปฏิบัตินั้น ทำได้ยากเพราะสถานที่ในการชันสูตรพลิกศพส่วนใหญ่ ก็จะเป็นห้องฉุกเฉิน หรือแม้แต่ห้องผ่าศพในโรงพยาบาลจังหวัด ก็ยังมีปัญหาในเรื่องของการกันญาติเช่นเดียวกัน

โรงพยาบาลส่วนใหญ่ มีมาตรการในการกันญาติที่ไม่เข้มงวดมากนัก เนื่องจากไม่อยากสร้างปัญหา หรือเงื่อนไขในการทำให้เกิดความไม่พอใจของผู้ประสบเหตุ อันจะส่งผลเสียต่อโรงพยาบาลในระยะยาว

การชันสูตรพลิกศพในโรงพยาบาลนั้น ในความเป็นจริงต้องทำด้วยความเป็นกลางที่สุด กล่าวคือไม่เฉพาะญาติเท่านั้น ที่ไม่มายืนข้างหลังแพทย์ แม้แต่ตำรวจต้องไม่มาอยู่ด้วย เพื่อไม่ให้เกิดเป็นภาพของความกดดันแพทย์ผู้ชันสูตรพลิกศพ อันเนื่องจากการชันสูตรพลิกศพนั้นเป็นการอำนวยความยุติธรรมให้เกิดขึ้น

หลายๆ ศพในพื้นที่นั้น บางกรณีไม่มีการชันสูตรพลิกศพ คือเมื่อมีการถูกยิงเสียชีวิต ชาวบ้านก็นำไปฝังบางครั้ง อาจมีการถ่ายรูปโดยผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน มาที่โรงพยาบาลบ้าง เพื่อยืนยันให้แพทย์ออกใบรับรองการตายและเขียนใบชันสูตรพลิกศพ

ซึ่งในทางทฤษฎีแล้วรูปถ่ายไม่สามารถทดแทนการชันสูตรพลิกศพได้ เป็นเพียงการบันทึกหลักฐานทางการแพทย์ชั้นหนึ่งเท่านั้น เพราะการเห็นเพียงรูปอาจไม่สามารถเห็นความจริงทั้งหมดได้ หรืออาจมีเงื่อนงำแอบแฝงได้ แต่ในทางปฏิบัติแพทย์ในพื้นที่ก็มีความจำเป็นต้องลงใบรับรองการตายและเขียนหลักฐานการชันสูตรพลิกศพให้

เมื่อต้องชันสูตรพลิกศพผู้ก่อการร้าย

กรณีศพผู้ก่อการร้ายถูกยิงตายนั้น การชันสูตรพลิกศพในพื้นที่จะเป็นไปไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่ญาติจะเข้าไปถึงศพก่อน และมักกอดศพไว้

อีกทั้ง จะห้ามไม่ให้แพทย์ผู้หญิง คนนอกศาสนาในการไปจับต้องศพ สุดท้ายเจ้าหน้าที่มักจะไม่สามารถดำเนินการใดๆ กับศพได้ โดยส่วนใหญ่ของโรงพยาบาลเองนั้น ก็ยินดีที่จะไม่ต้องชันสูตรศพนั้น แต่ก็จะทำให้การอำนวยความยุติธรรมในการสอบสวนเป็นไปไม่ได้ โดยเจ้าหน้าที่อาจจะให้ญาติยินยอม ที่จะไม่ชันสูตรเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน

 

กรณีศึกษาที่น่าสนใจเช่น  ที่อำเภอกะพ้อ  จังหวัดปัตตานี ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2547 มีเหตุการณ์ปะทะของตำรวจกับผู้ก่อการร้าย ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียชีวิตไป 2 คน ตำรวจได้ตามแพทย์ให้ไปชันสูตรศพที่จุดเกิดเหตุ เนื่องจาก เป็นกรณีที่มีความเสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาว่า เป็นการรุมทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ทำให้ทางโรงพยาบาลปฏิเสธไม่ได้ ด้วยสำนึกในปัญหาและเข้าใจในสถานการณ์ว่า อาจเกิดความไม่เข้าใจของประชาชนเหมือนกรณีตากใบ และมีปัญหาแน่หากแพทย์ไม่ออกไป เพราะเป็นกรณีที่ชาวบ้านข้องใจ

เมื่อออกไปชันสูตรที่ถนนคนแน่นมาก ไม่สามารถเอารถโรงพยาบาลเข้าไปได้ จนต้องเดินเข้าไปไกลมาก มีชาวบ้านมุงดูมากจนน่ากลัว เนื่องจากยังต้องรอพนักงานอัยการอีกนานมาก ในที่สุดทุกฝ่ายสรุปตรงกันว่า เห็นว่าควรนำศพมาชันสูตรที่โรงพยาบาล ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้น หากกลุ่มชาวบ้านลุกฮือมาแย่งชิงแห่ศพ มาทำร้ายเจ้าหน้าที่ก็ยากที่จะป้องกันตนได้

กรณีของโรงพยาบาลบันนังสตา จังหวัดยะลา ก็เป็นกรณีศึกษาหนึ่งที่สร้างความหนักใจ ให้กับแพทย์และบุคลากรในโรงพยาบาลเป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือ มีกลุ่มผู้ก่อการร้ายถูกเจ้าหน้าที่รัฐยิงเสียชีวิต และกว่าที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองจะนำศพออกจากพื้นที่มาที่โรงพยาบาล เพื่อการชันสูตรพลิกศพได้ก็ใช้เวลาหลายชั่วโมง เมื่อมาถึงที่โรงพยาบาล ก็มีบรรดาไทยมุงจำนวนมาก ได้ยืนอยู่บริเวณนอกรั้วโรงพยาบาล มีการปลุกระดม มีการเขย่ารั้ว เผาถังขยะและมีบางส่วนเล็ดลอดเข้ามาในโรงพยาบาล

ทันที ที่แพทย์ชันสูตรเสร็จ ซึ่งใช้เวลาในการชันสูตรอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่นาที ก็มีการแบกศพและแห่ศพออกตั้งแต่หน้าประตูห้องฉุกเฉินไปเลย พร้อมด้วยเสียงโห่และเสียงแสดงความสดุดีเปรียบประดุจการเชิดชูนักรบศักดิ์สิทธิ์

สภาพเหตุการณ์ทั้ง 2 กรณี ทำให้การชันสูตรพลิกศพ ในกรณีผู้ที่เป็นผู้ก่อเหตุความไม่สงบนั้น อาจจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องมีมาตรการเฉพาะ ที่รัดกุมกว่าที่ผ่านมา

บทเรียนการชันสูตรศพกรณี 28 เมษายน 2547

สำหรับการชันสูตรพลิกศพ ในกรณี ที่มีเหตุการณ์สำคัญที่มีศพจำนวนมากนั้นก็เป็นปัญหาเช่นกัน เช่นกรณีเหตุการณ์ 28 เมษายน 2547 ซึ่งมีการก่อเหตุของผู้ก่อความไม่สงบพร้อมกัน 10 จุด ทำให้มีผู้ก่อการเสียชีวิตกว่า 106 คนนั้น มีศพผู้ก่อการตายในที่เกิดเหตุจำนวนมาก การชันสูตรพลิกศพในพื้นที่ ส่วนใหญ่มีการลงบันทึกบาดแผลไม่ละเอียด บันทึกเพียงเหตุการณ์ตาย เช่น ถูกปืนยิงเข้าที่สำคัญ ไม่มีการเก็บหลักฐานตามหลักวิชาการ ไม่มีการบันทึกรูเข้ารูออก หรือลักษณะเขม่าดินปืนว่ามีการจ่อยิงหรือไม่ให้ชัดเจน

ปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้การชันสูตรพลิกศพในพื้นที่ ในกรณีการตายหมู่เช่นกรณี 28 เมษายน 2547 มีความบกพร่องอยู่มาก ได้แก่

- การขาดประสบการณ์ ในการชันสูตรพลิกศพของแพทย์ในพื้นที่ ซึ่งเป็นแพทย์ทั่วไปจบใหม่ ไม่ใช่แพทย์นิติเวช  

- ความไม่สะดวกในการชันสูตรพลิกศพในพื้นที่ เช่นไทยมุง ความคับแคบของสถานที่ ความไม่พร้อมของเครื่องมือในการออกพื้นที่เป็นต้น

- สถานการณ์ที่ยังคงมีความเสี่ยงสูง ทำให้ต้องรีบเร่งในการชันสูตรพลิกศพ  ดำเนินการส่งผลให้กระบวนการทางศาลในการพิจารณาคดีนั้น มีข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งส่งผลเสียต่อทั้งตัวบุคลากรทางการแพทย์เอง ซึ่งเป็นผู้ลงบันทึกและต้องไปเป็นพยาน ทำให้ไม่สามารถตอบคำถามหลายๆ คำถามได้อีกทั้งไม่สามารถอำนวยความยุติธรรมให้กับศพที่เสียชีวิตได้ดีพอ

ปัญหาการชันสูตรพลิกศพ กรณีมีการเสียชีวิตจำนวนมาก ก็เป็นอีกกรณีที่ควรได้รับการพิจารณาแนวทางการดำเนินการเป็นกรณีเฉพาะเช่นเดียวกัน

การตรวจ DNA ระบบที่ยังไม่ได้พัฒนา

สำหรับประเทศไทย ยังไม่มีระบบการชันสูตรพลิกศพหรือผู้ป่วยไม่ทราบชื่อ สกุล ที่เป็นมาตรฐานชัดเจนกล่าวคือ ยังไม่มีระบบการตรวจ DNA โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากในบริบทของมุสลิมต้องมีการจัดการศพโดยเร็ว ศพนิรนามส่วนใหญ่ ที่มีการชันสูตรศพก็จะระบุเป็นเพียงชายไม่ทราบชื่อ แล้วมีบาดแผลตรงนี่-ตรงนั้น เหตุตายคืออะไร ถ่ายรูปเก็บไว้ หากศพเสียชีวิต เป็นเวลานานแล้วก็จะทำให้บวม อืด ไม่สามารถจะดูลักษณะบุคคลได้ชัดเจน มอบศพให้กับผู้หลักผู้ใหญ่ของชุมชนไปทำพิธีต่อไป

ซึ่งการที่จะไปขุดศพมาตรวจพิสูจน์บุคคลในภายหลังนั้น ก็เป็นเรื่องยากและเสียความรู้สึกในหมู่พี่น้องมุสลิม ดังนั้น จึงควรมีการกำหนดมาตรฐานของการดำเนินการเก็บศพนิรนามให้ชัดเจน

บทเรียนที่ชัดเจนเช่น กรณีของโรงพยาบาลยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี  เมื่อมีการนำศพชายไม่ทราบชื่อซึ่งถูกทำร่ายด้วยอาวุธมาที่โรงพยาบาล  พบว่าศพนั้นมีความสูงประมาณ 160 เซนติเมตร แต่บัตรประชาชนในกระเป๋านั้น มีการขูดเอาใบหน้าออกและมีความสูงจากรูปในบัตรประชาชนประมาณ 170 เซนติเมตร ซึ่งขัดแย้งกับศพจริง ตำรวจมีการร้องขอให้ตรวจ DNA ของชายคนดังกล่าว ซึ่งเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 8-12 ชั่วโมง แต่ในปัจจุบันนั้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังไม่มีการจัดระบบการเก็บ DNA ที่เป็นระบบ แผนกนิติเวชของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เองยังไม่มีความพร้อม ในการตรวจ  โรงพยาบาลในพื้นที่ ยังไม่มีความสามารถในการเก็บเนื้อเยื่อ เพื่อส่งตรวจ DNA ในปัจจุบันยังต้องอาศัยทีมนิติเวชจากทางกรุงเทพฯ มาดำเนินการให้

ซึ่งโดยวิชาการแล้ว วิธีการเก็บเนื้อเยื่อเพื่อส่งตรวจ DNA ที่ดีที่สุดคือ ตัดเอากระดูกต้นขาหรือกระดูกซี่โครงความยาวประมาณ 1 นิ้วมา เพื่อนำไขกระดูกไปตรวจหา DNA  หรือหากเสียชีวิตในเวลาไม่เกิน 48 ชั่วโมง หลังการเสียชีวิต ก็อาจเก็บจากชิ้นกล้ามเนื้อโดยตัดเอากล้ามเนื้อประมาณ 1 ลูกบาศก์เซนติเมตรส่งตรวจ ไม่แนะนำให้ส่งเนื้อเยื่อจากกระพุ้งแก้มหรือเลือดในการตรวจ เนื่องจากขั้นตอนในการเก็บค่อนข้างยุ่งยาก และมีการปนเปื้อน DNA ของผู้อื่นได้ง่ายรวมทั้งต้องใช้ media หรือสารเลี้ยงในระหว่างการขนส่งที่ดีมาก

อย่างไรก็ตามระบบเหล่านี้ ยังไม่ถูกจัดตั้งในพื้นที่ภาคใต้ รวมทั้งยังไม่นโยบายจากรัฐบาลว่า จะให้ความสำคัญกับการจัดระบบในเรื่องนี้หรือไม่  และคงต้องอาศัยการศึกษาทางวิชาการอีกพอสมควรว่า คุ้มค่าหรือไม่ และจะมีการจัดวางระบบอย่างไร จึงมีประสิทธิภาพมากที่สุดภายใต้ทรัพยากรอันจำกัด

ข้อเสนอสำหรับอนาคตที่อาจไม่ดีที่สุด      

สืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การวางระบบการชันสูตรพลิกศพในพื้นที่ ให้เป็นระบบให้สามารถอำนวยความยุติธรรมและสามารถสร้างความเชื่อถือจากประชาชนในพื้นที่ได้จริง จึงเป็นสิ่งที่ควรจะกระทำ โดยอาจจะต้องมีการสร้างลักษณะคล้ายโรงพยาบาลสนามสำหรับการชันสูตรพลิกศพในพื้นที่ขึ้นมาอย่างน้อยจังหวัดละ 1 แห่ง หรืออาจเรียกง่ายๆว่า ศูนย์นิติเวชส่วนหน้า

โดยศูนย์นิติเวชส่วนหน้า ต้องเป็นสถานที่ที่มีความเป็นกลาง ปฏิบัติงานโดยทีมงานมืออาชีพ คือมีทีมเก็บหลักฐานในพื้นที่ที่เข้าเก็บหลักฐานและถ่ายภาพลักษณะการเสียชีวิต การก่อเหตุในที่เกิดเหตุ

หลังจากนั้น ก็นำศพมาชันสูตรพลิกศพเพิ่มเติมในศูนย์นิติเวชส่วนหน้า  โดยต้องเป็นสถานที่ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี ไม่กดดันแพทย์ การชันสูตรในห้องที่ปลอดภัยนั้น จะทำให้ชันสูตรได้เร็วและเก็บรายละเอียดได้สมบูรณ์ อีกทั้งมีพื้นที่ดูแลทางจิตวิทยาและการเยียวยาเบื้องต้นแก่และญาติของผู้สูญเสีย

อย่างไรก็ตาม ในบริบทที่ประเทศไทย มีแพทย์นิติเวชไม่เพียงพอ  ส่วนใหญ่กระจุกอยู่ในกรุงเทพ อีกทั้งยังมีความขัดแย้งกันเองของหน่วยงานนิติเวชในประเทศไทย ที่มาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์และมหาวิทยาลัยที่มีคณะแพทยศาสตร์ ทำให้โอกาสที่จะมีการระดมกำลังทรัพยากรบุคคล เพื่อจัดตั้งศูนย์ดังกล่าวเป็นไปได้ยากยิ่ง

ปัญหาไม่ใช่สถานที่และงบประมาณ แต่อยู่ที่บุคลากรที่จะมาทำหน้าอันสำคัญนี้

แต่ก็แน่นอนว่า เมื่อมีศูนย์นิติเวชส่วนหน้าในการทำหน้าที่ชันสูตรพลิกศพแล้ว ฝ่ายผู้ก่อการร้ายย่อมจะแก้เกม ด้วยการดำเนินการดักไม่ให้มีการส่งศพ ที่มีความสำคัญมาชันสูตรพลิกศพที่ศูนย์ฯ แห่งนี้ เพราะการชันสูตรพลิกศพที่ดีมีความเป็นธรรม จะบอกถึงความจริงว่า คนกลุ่มใดเป็นผู้ทำร้าย จะสามารถทำความจริงให้กระจ่างสยบข่าวลือได้ในระดับหนึ่ง

ทางออกสำหรับการแก้ปัญหาการชันสูตรพลิกศพในสถานการณ์ไฟใต้นั้น ยังต้องการการแลกเปลี่ยนเพื่อแสวงหาทางออกที่ดีที่สุด สถานการณ์เป็นพลวัต คงไม่มีทางออกทางใดที่ดีที่สุด การปรับเปลี่ยนกลไกของรัฐในการตามให้ทันกับปัญหาการชันสูตรพลิกศพที่หลากหลาย จะช่วยให้สามารถใช้กลไกด้านนิติวิทยาศาสตร์ในการอำนวยความยุติธรรมให้กับผู้สูญเสีย จากสถานการณ์ความไม่สงบในสถานการณ์ไฟใต้ ให้ได้มากที่สุด

จนถึงวันนี้รัฐบาลและกระทรวงที่เกี่ยวข้องไม่ว่ากระทรวงยุติธรรม  กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงสาธารณสุข ยังไม่มีการวางระบบการชันสูตรพลิกศพ ที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว ที่น่าเศร้ากว่านั้น คือ ในวันนี้ยังไม่มีความกระตือรือร้นใดๆ จากผู้บริหารในบ้านเมือง ที่จะผลักดันให้เกิดระบบการชันสูตรพลิกศพในสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างจริงจัง      

โดยทฤษฎีแล้ว การฆ่าหรือการตายผิดธรรมชาตินั้น หากมีการสอบสวนหรือการชันสูตรเต็มรูปแบบ จะสามารถวิเคราะห์รูปแบบได้ว่า เสียชีวิตหรือการทำลายศพนั้น เป็นการฝึกมาจากกลุ่มใดหรือฝ่ายใด เช่น ลักษณะการยิง การต่อวงจรสำหรับระเบิด ลักษณะการตัดคอหรือเผาทำลายศพ ซึ่งจะทำให้พอที่จะสามารถแบ่งกลุ่มการกระทำได้ว่า กลุ่มติดอาวุธนั้นๆ มีพื้นที่ปฏิบัติการในพื้นที่ใดบ้าง ทำให้สามารถจำกัดวงในการติดตามได้ง่ายขึ้น

อีกทั้ง กรณีของหัวกระสุนก็เป็นเหมือนกับ DNA ของมนุษย์ คือ ปืนทุกกระบอกจะมีลายของหัวกระสุนที่แตกต่างกัน หากสามารถเก็บหัวกระสุนมาได้นำมาเปรียบเทียบกันก็จะทราบว่า เป็นเหตุจากปืนกระบอกเดียวกันหรือไม่

แต่ด้วยข้อจำกัด ในการชันสูตรพลิกศพทั้งในแง่ของบริบทมุสลิมที่มักไม่อนุญาตให้มีการชันสูตรเต็มรูปแบบ รวมทั้งปัญหาในระบบการชันสูตรพลิกศพของภาครัฐเอง ที่ฝากไว้กับแพทย์ในโรงพยาบาล ซึ่งไม่มีทักษะในการผ่าพิสูจน์ศพดังเช่นแพทย์นิติเวช จึงทำให้การเก็บหลักฐานหรือการรวบรวมหลักฐานจากการชันสูตรพลิกศพนั้นยังมีปัญหาอยู่มาก

ปัจจุบันบทบาทของแพทย์ในโรงพยาบาลต่างๆ นั้นทำการชันสูตรพลิกศพ เพื่อการตรวจบาดแผลภายนอกเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอกับการอำนวยความยุติธรรมและการพิสูจน์หาความจริง จากสถานการณ์ความไม่สงบ

การชันสูตรศพภายนอกโรงพยาบาล ณ จุดเกิดเหตุนั้น วัตถุประสงค์สำคัญ เพื่อให้แพทย์เห็นสภาพทั่วไปของพื้นที่ ร่วมรวบรวมหลักฐานและดูพฤติกรรมการตาย แต่อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ไม่สงบนี้ การชันสูตรศพในพื้นที่นั้นไม่สามารถทำได้ละเอียดมากนัก และเพื่อการผดุงความยุติธรรมก็ควรนำมาชันสูตรศพให้ละเอียดมากขึ้นในโรงพยาบาลด้วยเสมอ รวมทั้งจะได้แต่งศพก่อนส่งมอบกับญาติผู้เสียชีวิต เพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น