ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่สั่งสมมาอย่างต่อเนื่องในสังคมพหุวัฒนธรรม
นับจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ระบาดมาตั้งแต่ต้นปี 2565
เป็นปรากฏการณ์ที่สร้างผลกระทบต่อวิถีชีวิต ผู้คนชายแดนใต้เป็นอย่างมาก ทั้งการเดินทาง
การประกอบอาชีพ การศึกษา
ทั้งยังกระทบต่อกระบวนการสร้าง
“สันติภาพ”...“สันติสุข” ในแง่ของความต่อเนื่องในการดำเนินการ
เนื่องจาก มีอุปสรรคด้านการปิดพรมแดนระหว่างไทย-มาเลเซีย เนื่องจากความรุนแรงของโรคระบาด
อย่างไรก็ตาม การพูดคุยสันติภาพ...สันติสุข
ภายใต้สถานการณ์ที่เปราะบางยังคงเดินหน้าต่อไป
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกฝ่ายในการแสวงหาสันติภาพที่ยั่งยืน
“การศึกษารูปแบบการเมือง
การปกครองและอัตลักษณ์ ที่สอดคล้องกับพหุวัฒนธรรมในจังหวัดชายแดนภาคใต้”(ตุลาคม
2562) เครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้สังคมพหุวัฒนธรรม
และพัฒนามนุษย์ โดยใช้นักวิจัยจาก 6 สถาบันการศึกษาหลัก ได้แก่
มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
มหาวิทยาลัยทักษิณ มหาวิทยาลัยฟาฏอนี มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนเรศวร
รวมทั้งนักวิจัยผู้ช่วยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย สะท้อนภาพไว้ว่า เหตุการณ์จังหวัดชายแดนใต้ของประเทศไทย
นับตั้งแต่ พ.ศ.2547 เป็นต้นมา จำนวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งสิ้นมากกว่า 20,000
เหตุการณ์ ประชาชนและเจ้าหน้าที่ต้องเสียชีวิตมากกว่า 6,800 ราย และบาดเจ็บมากกว่า
13,400 ราย และสร้างผลกระทบต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในวงกว้างอย่างมากมาย จึงมีข้อสงสัยว่าเหตุใดความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ของไทยจึงเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้
และมีความยืดเยื้อมาเป็นเวลานาน?
และ...ทำไมทางการไทย ถึงมีความยากลำบากในการหาทางออกต่อปัญหานี้
และเหตุใดปัญหานี้ ถึงเป็นเรื่องเข้าใจได้ยาก?
สถานการณ์ดังกล่าวถูกอธิบายด้วยความรู้หลายชุด แต่อาจกล่าวได้ว่าเกี่ยวข้องกับ 5 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ปัจจัยทางการศึกษา ปัจจัยทางการเมือง ปัจจัยทางศาสนา ปัจจัยทางสังคม การแก้ปัญหาสถานการณ์ในชายแดนใต้จำเป็นต้องใช้ความรู้หลายชุดเข้าไปช่วยในการแก้ไขปัญหา ชุดความรู้หนึ่งเกี่ยวกับปัญหาทางเศรษฐกิจเป็นแนวคิดที่มองว่า “ความยากจน” และ “ความด้อยพัฒนา” เป็นสาเหตุของความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้เริ่มปรากฏชัด...
ที่การกลืนกลายทางวัฒนธรรมแบบบังคับ ที่มีมาแต่เดิมค่อยๆ ลดบทบาทลง
และเริ่มเข้าสู่ยุคที่รัฐไทย ใช้การพัฒนาเป็นเครื่องมือยับยั้งการต่อต้านรัฐ และเพื่อเอาชนะหัวใจของชาวมลายูมุสลิมที่นั่น
“รัฐไทย”
มีความหวังว่าการพัฒนาคุณภาพชีวิตทางเศรษฐกิจ จะสร้างความเป็นปึกแผ่น
ความภักดีต่อชาติ สำนึกในความเป็นไทย และจะป้องกันการต่อต้าน
หรือการถูกชักจูงจากผู้ไม่หวังดีภายนอกได้
แม้เวลาจะผ่านมาแล้วกว่าสี่สิบปี...แนวคิดนี้ก็ยังคงมีความสำคัญในปฏิบัติการเพื่อแก้ปัญหาความไม่สงบ
สำหรับการเชื่อมโยงกับปัญหาความมั่นคงนั้น
ความยากจน และความด้อยพัฒนาถูกมองว่าเปิดช่องให้ “ผู้ไม่หวังดี” มาแทรกแซง
ส่งผลต่อการขยายตัวของขบวนการก่อความไม่สงบ
น่าสนใจว่า...จากการศึกษา ดูเหมือนจะมีข้อมูลสนับสนุนความคิดดังกล่าว
โดยพบหมู่บ้านพื้นที่สีแดง มักกระจุกตัวอยู่ในเขตที่มีความยากจนหนาแน่น เนื่องจากมีปัญหาในการประกอบอาชีพ
ข้อมูลความรู้นี้ ทำให้รัฐเห็นว่าการใช้ยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ น่าจะช่วยแก้ปัญหาสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนใต้
โดยในระยะหลายปีมานี้ รัฐได้ทุ่มงบประมาณเกือบสามแสนล้านบาท ในพื้นที่ชายแดนใต้เพื่อสร้างงาน
สร้างอาชีพ และรายได้
แต่...กระนั้นความรุนแรง ก็ยังปรากฏและเกิดขึ้นเป็นระยะ
ในแง่มุมของชุดความรู้อื่นคือการที่ “ชาวมุสลิม” ถูกผลักให้เป็น “คนชายขอบ (Marginality)” ซึ่งเป็นปัญหาทางสังคม
โดยความเป็นชายขอบจะหมายถึงผู้คนที่ด้อยอำนาจ...คนที่ตกเป็นเบี้ยล่าง...ของคนกลุ่มใหญ่
และคนยากไร้
เมื่อคนเหล่านี้ เป็นชาติพันธุ์คนกลุ่มน้อย เพศด้อย และไม่มีตำแหน่งทางสังคม หรือเรียกรวมๆ ว่ามีสถานะเป็น “คนอื่น” อีกด้วยแล้ว
จึงทำให้คนเหล่านี้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกกีดกันออกซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือเป็นชายขอบในพหุมิติ
ซึ่งกระบวนการเป็นคนชายขอบเกิดขึ้น เมื่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลถูกปฏิเสธโอกาสที่จะเข้าถึงตำแหน่งสำคัญเป็นสัญลักษณ์...ทางเศรษฐกิจ
ศาสนา อำนาจทางการเมืองในสังคมใดๆ
“การถูกปฏิเสธ และถูกกีดกันมาจากกระบวนการสำคัญในการสร้างภาวะความเป็นชายขอบ
คือการสร้างความหมายในแง่ลบให้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วนำมาผูกติดเข้ากับอัตลักษณ์ของกลุ่มคนในสังคม โดยการแยกข้อเท็จจริงและการกระทำออกจากความเป็นตัวตนของคน”
อัตลักษณ์...ชายขอบจึงถูกสร้างและให้ความหมายโดยสังคมศูนย์กลางที่มีวิธีคิดแบบแยกขั้ว
ที่ให้คุณค่าและอำนาจแก่ขั้วหนึ่งสูงกว่าอีกขั้วหนึ่ง
”แท้จริงแล้วพวกเขา
“เป็นชายขอบหรือแค่แตกต่าง”
...ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ส่วนหนึ่งเข้าใจปัญหา และมีความพยายามกำหนดกฎเกณฑ์ที่ตั้งอยู่บนฐานของความเคารพต่อศักดิ์ศรีของคน
ประชาชนส่วนใหญ่ ในจังหวัดชายแดนใต้นั้น เป็นเชื้อชาติมลายูที่นับถือศาสนาอิสลามอันมีอัตลักษณ์
วัฒนธรรมที่แตกต่างไปจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
ซึ่งมักจะเรียกรวมกันโดยรวมว่าเป็นคนไทยที่นับถือ
“ศาสนาพุทธ”...โครงสร้างการปกครองซึ่งมีความเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับการดำเนินชีวิต จึงตอบสนองต่อความแตกต่างทางอัตลักษณ์นี้ด้วย
ซึ่งหากไม่สามารถตอบสนองได้
ก็จะเกิดปัญหาที่นำไปสู่ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อในที่สุด สอดคล้องกับชุดความรู้หนึ่งคือเรื่องเกี่ยวกับวิธีการที่รัฐจัดการกับ
“ชนกลุ่มน้อย”...ทางเชื้อชาติและศาสนาในภาคใต้ของประเทศด้วยการพยายามใช้วิธีการปกครองแบบ...“รัฐเดี่ยว”
ซึ่งถือว่าไม่ได้ผล เพราะ “ชาวไทยมุสลิม”
ในภาคใต้มีแนวคิดและวัฒนธรรมที่แตกต่างจากกลุ่มชาวพุทธเถรวาท
ในพื้นที่ศูนย์กลางจึงไปกันไม่ได้กับวิธีการปกครองแบบรัฐรวมศูนย์หนึ่งเดียว
อีกทั้งกลุ่มชนชั้นนำ ในเมืองหลวงก็มีท่าทีกดเหยียดชนชาติ...ถ้าไม่ใช่ด้วย
“ความเกลียดชัง” หรือไม่ก็ด้วย “ความสงสาร”
ปัญหาที่เกิดขึ้นที่ชายแดนใต้
ไม่ว่าจะเป็นความยากจน ยาเสพติด อิทธิพลท้องถิ่น ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
ปัญหาการศึกษา การขาดประสิทธิภาพของกลไกรัฐ
และความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านกับหน่วยงานรัฐ
ที่จริงก็ล้วนเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกพื้นที่ของประเทศ
แต่...เมื่อมาเกิดในพื้นที่ชายแดนใต้
ก็มีความเชื่อมโยงกับปัญหาความมั่นคงและกลายมาเป็นสาเหตุของความไม่สงบ วังวนปัญหาความไม่สงบ...การใช้ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังคงเป็นเงื่อนปัญหาใหญ่ ที่ยังไม่คลี่ลายโดยง่าย
ระวังไว้ว่า...หากแก้ไม่ตรงจุด เงื่อนนี้ก็จะยิ่งมัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น