🤝🔰ภาพประทับใจ....สังคมพหุวัฒนธรรม
แตกต่างอย่างเข้าใจ
"พุทธ-คริสต์-อิสลาม"
ชูชุมชน "กะดีจีน-คลองสาน" ต้นแบบศาสนากับการพัฒนาที่ยั่งยืน
ความสงบสุข
การอยู่ร่วมกันอย่างเข้าอกเข้าใจ การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
เรียนรู้วัฒนธรรมที่หลากหลายทางภาษา เชื้อชาติ ศาสนา
นับเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของพื้นที่ชายแดนใต้
ด้วยสังคมพหุวัฒนธรรมที่ประชาชนอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
“กิจกรรมทั้ง
3 ศาสนาทำร่วมกัน เข่น ประกวดอาหาร 3 ศาสนา ได้มีการประกวดกันอย่างละ 1 วัน
การรณรงค์ไม่ให้มีการสูบบุหรี่ในศาสนสถาน
และการรณรงค์เรื่องการเก็บขยะให้เป็นที่เป็นทาง รวมถึง การจัดงานศิลป์ในซอยเมื่อปี
2557 ที่ได้กลายเป็นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
โดยมีเยาวชนในชุมชนเป็นมัคคุเทศก์น้อยพานักท่องเที่ยวเดินชมชุมชน
และกลายเป็นการท่องเที่ยวเชิงพหุวัฒนธรรมไปโดยปริยาย”
เมื่อวันที่
29 กันยายน2565 ที่ผ่านมา ในงาน Sustainability Expo 2022 หรือ SX
2022 มหกรรมด้านความยั่งยืนที่ใหญ่สุดในอาเซียน ครอบคลุมพื้นที่กว่า
40,000 ตารางเมตร ของศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 26 กันยายน ถึง 2 ตุลาคม 2565
มีการเสวนาเรื่อง "ศาสนากับความยั่งยืนของชุมชน" โดยมีผู้แทนจาก
3 ศาสนา ทั้งพุทธ คริสต์ และอิสลาม ประกอบด้วย พระพรหมบัณฑิต(ประยูร ธมฺมจิตฺโต)
เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร กรรมการมหาเถรสมาคม และอุปนายกสภามหาวิทยาลัย
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) มงซินญอร์ ดร.วิษณุ ธัญญอนันต์
รองเลขาธิการสภาประมุขบาทหลวง โรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย และฮัจยี อุมัร กาญจนกูล
(วาสุเทพ กาญจนกูล) ผู้แทนชุมชนมุสลิมย่านกะดีจีน-คลองสาน ดำเนินรายการโดยนายสุรพล
เศวตเศรนี ที่ปรึกษาคณะกรรมการการท่องเที่ยวโดยชุมชนและประธานจัดงาน Water
& River Festival มาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
พระพรหมบัณฑิต(ประยูร
ธมฺมจิตฺโต) กล่าวเปิดวงสนทนาว่า สำหรับศาสนากับความยั่งยืนของชุมชนนั้น คำว่า
การพัฒนาที่ยั่งยืน ได้เริ่มมีการพูดถึงและใช้เมื่อ 30 ปีก่อนเป็นครั้งแรก
โดยให้ความหมายว่า เป็นการพัฒนาที่เอื้อต่อคนรุ่นต่อๆ ไป
ซึ่งเป็นความหมายที่เน้นในเรื่องสิ่งแวดล้อม
เพราะว่าทุกคนได้มีการหยิบยืมทรัพยากรธรรมชาติจากรุ่นลูกหลานมาใช้
จึงไม่ควรใช้อย่างสิ้นเปลือง และเหลือไว้ให้คนรุ่นลูกหลานได้ใช้บ้าง แต่องค์การสหประชาชาติได้ขยายคำว่า
ความยั่งยืน ให้มีความหมายมากกว่านั้น โดยในปี 2555
องค์การสหประชาชาติได้กำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน(SDGs) ว่า ภายในปี 2568-2571 โลกจะต้องบรรลุเป้าหมาย 17 ข้อ
แต่เป้าหมายที่ควรทำได้ มี 3 เรื่อง คือ สังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ
สรุปแล้วการพัฒนาที่ยั่งยืนจึงไม่ได้มีเพียงแค่สิ่งแวดล้อมเท่านั้น
สำหรับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง
รัชกาลที่ 9 ยังคงหลักเป้าหมายทั้ง 3 เรื่อง
ที่องค์การสหประชาชาติได้เน้นย้ำไว้อยู่ แต่ได้มีการนำวัฒนธรรมเข้ามา
ซึ่งปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้มีแนวคิดที่จะนำไปสู่ความสมดุล ทั้งเศรษฐกิจ สังคม
สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม
แต่เนื่องจากสังคมและวัฒนธรรมเป็นเรื่องเดียวกัน
องค์การสหประชาชาติจึงควบรวมเป็นเรื่องเดียวกัน คือ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
ดังนั้น ในปี 2549 สำนักเลขาธิการสหประชาชาติจึงนำรางวัล UN Human Development
Lifetime Achievement Award ซึ่งเป็นรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์
ทูลเกล้าฯ ถวาย ในหลวง รัชกาลที่ 9
"หลังจากองค์การสหประชาติประกาศเป้าหมายความยั่งยืนทั้ง
17 ข้อ ฝ่ายศาสนาก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้จัดการประชุมผู้นำศาสนาที่นครรัฐวาติกัน
ในปี 2562 ซึ่งมีหนึ่งประโยคที่รู้สึกประทับใจ คือ ประโยคที่ว่า 'No man left
behind.' การพัฒนาที่ยั่งยืนจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ไม่ว่าจะเป็นผู้ด้อยโอกาส หรือคนยากคนจน ซึ่งเป็นพระดำรัสของพระสันตะปาปา
"ทั้งนี้
ตัวผู้พูดได้มีส่วนร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนในการประชุมครั้งนี้
และมีผู้เข้าร่วมประชุมจากหลายฝ่าย รวมถึงคุณฐาปน สิริวัฒนภักดี
(กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ไทยเบฟเวอเรจ) ก็ได้เข้าร่วมพูดคุยในครั้งนี้ด้วย
โดยมีท่าน มงซินญอร์ ดร.วิษณุ ธัญญอนันต์ เป็นผู้ประสานงานครั้งนี้"
พระพรหมบัณฑิต กล่าวและว่า การประชุมดังกล่าวได้ข้อสรุปพื้นฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืนว่า
ต้องมี 5
Ps ได้แก่ People คุณภาพชีวิตของผู้คน,
Prosperity ความเจริญทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน, Planet ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, Peace สันติภาพ และ
Partnership การมีส่วนร่วมเพื่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
ซึ่งทั้งหมดจะต้องเกิดขึ้นพร้อมเพรียงกันและจับมือไปด้วยกัน
โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และได้มีการยกตัวอย่างชุมชนย่านกะดีจีน-คลองสาน
ที่ชุมชนชาวพุทธ คริสต์ และอิสลาม ได้ร่วมจับมือกันเป็นต้นแบบ
พระพรหมบัณฑิต
กล่าวถึงชุมชนต้นแบบว่า ผู้นำชุมชนย่านกะดีจีน-คลองสาน มีอยู่ 6 ชุมชนด้วยกัน
ทั้งวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ที่เป็นหน้าด่านของชาวพุทธ ตามด้วยชุมชนวัดกัลยาณมิตร
ชุมชนวัดบุปผาราม ชุมชนโรงพราหมณ์ ชุมชนมัสยิดกุดีขาวเป็นอิสลาม
รวมถึงชุมชนกะดีจีนที่เป็นคริสต์ เรียกได้ว่าใน 6 ชุมชน มีถึง 3 ศาสนาอยู่ด้วยกัน
ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องยากที่จะติดต่อประสานงานให้ทำงานร่วมกันจนสำเร็จได้
แต่ก็เกิดขึ้นได้และประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
"วิธีการทำงานจึงใช้
บ้าน วัด ราชการ เป็นแกนหลักในการประสานงาน เริ่มจากชุมชนพุทธจับมือกับชุมชนอื่นๆ
ในย่านกะดีจีน โดยนำผู้นำศาสนาอื่นมาร่วมเวทีแลกเปลี่ยนความคิด
และจากการสืบค้นทางประวัติศาสตร์พบว่า ชุมชนพุทธ คริสต์ อิสลาม
เหล่านี้เริ่มสร้างชุมชนร่วมกันมาตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์
ซึ่งหากนับตั้งแต่อดีตจนมาถึงปัจจุบันก็นับได้ว่า คนในชุมชนมีความผูกพัน
และนับญาติกันมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน"
การแลกเปลี่ยนข้อมูลต่าง
ๆ มีองค์กรจากภาคเอกชนมาร่วมสนับสนุน โดยใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแกนนำ
ยกตัวอย่างเช่น ด้านวัฒนธรรมที่จัดร่วมกัน คือ การจัดงานลอยกระทง
ที่เริ่มต้นเมื่อปี 2553 จนมาถึงปัจจุบัน
โดยให้ประชาชนนำกระทงมาลอยได้ที่วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ชุมชนมัสยิดกุดีขาว และย่านชุมชนกะดีจีน
ภายในงานมีขนมและอาหารขึ้นชื่อของคนในชุมชนมาวางจำหน่าย โดยที่วัดไม่คิดค่าใช้จ่าย
ซึ่งปฏิบัติเช่นนี้มานานกว่า 10 ปี เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน
และเป็นจุดเริ่มต้นของวิสาหกิจชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับกิจกรรมอื่นๆ
อย่างการประกวดอาหาร 3 ศาสนา ได้มีการประกวดกันอย่างละ 1 วัน
การรณรงค์ไม่ให้มีการสูบบุหรี่ในศาสนสถาน
และการรณรงค์เรื่องการเก็บขยะให้เป็นที่เป็นทาง รวมถึงการจัดงานศิลป์ในซอยเมื่อปี
2557 ที่ได้กลายเป็นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
โดยมีเยาวชนในชุมชนเป็นมัคคุเทศก์น้อยพานักท่องเที่ยวเดินชมชุมชน
และกลายเป็นการท่องเที่ยวเชิงพหุวัฒนธรรมไปโดยปริยาย
วิธีการพัฒนาดังกล่าวเริ่มจากที่คนในชุมชน ได้ตื่นพร้อม ตื่นรู้ สร้างสรรค์
และกระจายสู่ภายนอกจนประสบความสำเร็จ โดยมีผู้นำชุมชนเป็นคนสำคัญในการประสานงาน
จากชุมชนกะดีจีนได้พัฒนาไปถึงคลองสาน และกลายเป็นต้นแบบการพัฒนาชุมชนตัวอย่างของกรุงเทพมหานคร
ทั้งนี้
พระพรหมบัณฑิต กล่าวทิ้งท้ายว่า การพัฒนาชาติให้เริ่มที่ประชาชน
และการพัฒนาคนให้เริ่มที่ใจ จะพัฒนาอะไรให้เริ่มที่ตัวเรา ดังนั้น
หากนำศาสนามาขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนา คือ เติมส่วนที่ขาดให้เต็ม
เติมที่เต็มให้พอ และถ้าพอให้แบ่ง ที่แบ่งให้เป็นธรรม
จะทำให้ทุกพื้นที่ทุกแห่งในสังคมไทยกลายเป็นสวรรค์บนดินที่น่าอยู่
จากพลังการแบ่งปันของศาสนาสืบไป
ด้าน
มงซินญอร์ ดร.วิษณุ ธัญญอนันต์ กล่าวเสริมว่า สำหรับภาคปฏิบัติของชุมชนคาทอลิก
เมื่อวันที่ 14-16 กันยายนที่ผ่านมา มีการประชุมผู้นำโลกที่อัสตานา
ประเทศคาซัคสถาน
ที่ผู้นำศาสนาได้นั่งร่วมวงสนทนาพูดคุยกันในหัวข้อ"ศาสนาเป็นตัวแปรสำคัญในการสร้างความยั่งยืนของโลก
ดังนั้น การแก้ไขปัญหานี้ต้องเริ่มจากผู้นำศาสนาในชุมชน
ต้องแสวงหาจุดร่วมและสงวนจุดต่างของผู้คนที่มีวัฒนธรรมแตกต่างกัน ส่วนที่น่ากังวลอีกประการ
คือ คนที่นำเอาศาสนามาเป็นเรื่องสุดโต่ง หรือชาตินิยมจัด" มงซินญอร์ ดร.วิษณุ
กล่าวและว่า
นอกจากนี้
สิ่งที่พระสันตปาปาฟรานซิสทรงห่วงที่สุด คือ
กลัวคนรุ่นใหม่จะลืมเลือนประวัติศาสตร์
แต่โชคดีที่สมาชิกชุมชนวัดคาทอลิกที่ซางตาครู้สกว่า 1,000 คน
ไม่หลงลืมประวัติศาสตร์และช่วยรักษาวัฒนธรรมของชุมชน
ผ่านการประสานงานของผู้นำศาสนาและชุมชนอื่นๆ ในบริเวณโดยรอบ
ซึ่งชุมชนคริสต์คาทอลิกอยู่ตรงบริเวณนี้กว่า 253 ปีแล้ว
อยู่ติดกับวัดพุทธและศาลเจ้าจีน รวมถึงพี่น้องมุสลิมทางคลองหลวง
แสดงถึงความเป็นพหุวัฒนธรรมในย่านนี้ได้เป็นอย่างดี
ฮัจยี
อุมัร กาญจนกูล (วาสุเทพ กาญจนกูล) ผู้แทนชุมชนมุสลิมย่านกะดีจีน-คลองสาน
กล่าวถึงวิสัยทัศน์ของมัสยิดกูวติลอิสลาม หรือมัสยิดตึกแดง ว่า
ย่านกะดีจีน-คลองสาน เป็นการต่อยอดและพัฒนาสู่ความยั่งยืน โดยคำว่า อิสลาม แปลว่า
สันติ กล่าวคือศาสนอิสลามมีสันติ อิสรภาพ และภราดรภาพ โดยภราดรภาพนี้
ทำให้มัสยิดตึกแดงอยู่ร่วมชุมชนกะดีจีน-คลองสานมาได้อย่างเนิ่นนานแล้ว
ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 เป็นต้นมา
"มัสยิดตึกแดงอยู่ใกล้กับศาลเจ้าพ่อกวนอู
และวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ซึ่งมีศรัทธาและความเชื่อที่แตกต่างกัน
แต่อิสลามสอนให้มีมารยาทที่ดีงาม
ให้เกียรติทุกศาสนาและความเชื่อที่แตกต่าง
อีกทั้งไม่มีคำสอนใดอนุญาตให้ทำไม่ดีต่อคนอื่นแต่อย่างใด
จึงทำให้สามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืน โดยสิ่งสำคัญคือ ดุลยภาพ
ที่เป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกัน จะทำให้ชุมชนมีความยั่งยืนได้อย่างแน่นอน" ผู้แทนชุมชนมุสลิมย่านกะดีจีน-คลองสาน กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น