คนบางส่วนในพื้นที่เชื่อว่า
มุสลิมหรือผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามนั้น
ไม่อนุญาตให้อยู่ภายใต้การปกครองของชนต่างศาสนา(กาฟิร) มีการปลุกระดมปลูกฝังแนวคิดนี้สู่ประชาชนจนกลายเป็นปัญหาหนึ่งในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่
การที่มุสลิมอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลที่มิใช่มุสลิมนั้น
มิได้เป็นข้อต้องห้ามตามบทบัญญัติของศาสนาอิสลามแต่ประการใด
ไม่เพียงเฉพาะมุสลิมเท่านั้น ศาสนิกอื่นก็เช่นกัน ถ้ารัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐมีความอธรรม
กดขี่ลิดรอนสิทธิทางศาสนา
ก็เป็นสิทธิที่เขาเหล่านั้นจะลุกขึ้นต่อสู้กับความอธรรมและการถูกกดขี่
แต่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มิได้เป็นเช่นนั้นไม่มีความอธรรมหรือการกดขี่ทางศาสนาแต่อย่างใด
เจ้าหน้าที่หรือรัฐบาลให้การสนับสนุนเกี่ยวกับการปฏิบัติศาสนกิจทางศาสนาอย่างเต็มที่
ไม่มีว่าจะเป็นเงินสนับสนุนบำรุงมัสยิด เงินค่าตอบแทนให้กับครูตาดีกา
และทุนการศึกษา สนับสนุนการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์,อุมเราะห์
ณ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ในห้วงเดือนรอมฎอน
ให้การสนับสนุนอิทผาลัมของกินของใช้ที่จำเป็นแจกจ่ายให้กับพี่น้องในพื้นที่
เปิดโลกทัศน์มุมมองด้วยการเชิญผู้นำทางศาสนาจากต่างประเทศมาบรรยายธรรมเป็นประจำทุกปี
เจ้าหน้าที่ร่วมดูแลพี่น้องมุสลิมในพื้นที่อย่างดีเยี่ยม จัดชุดแพทย์เดินเท้าเข้าให้การรักษาถึงบ้าน
รวมถึงการพัฒนาพื้นที่ในด้านต่างๆ
ให้มีความเจริญ เช่น การปรับปรุงถนนหนทาง สาธารณูปโภคต่าง ๆ
เพื่อความสะดวกสบายของพี่น้องประชาชน
ปัจจุบันคนในพื้นที่เองได้รู้ได้เห็นเป็นรูปธรรมจับต้องได้
อีกทั้งยังเชื่อมั่นว่าพื้นที่แห่งนี้มิได้ มีการกดขี่ข่มเหงหรือเลือกปฏิบัติแต่อย่างใด
รัฐมีแต่ให้การสนับสนุนทุกอย่างเพื่อให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ตามประวัติศาสตร์อิสลาม
ตามรายงานของมุฮัมหมัด อิบนิอิสฮากในหนังสือ ซีรอตุรรอซูลลุลลอฮฺ บันทึกไว้ว่า
เมื่อบรรดาสาวกของท่านศาสนาดา มูฮัมหมัด (ศอลฯ) ได้รับการกดขี่ ซึ่งศาสนาดา
ไม่สามารถปกป้องทุกคนได้ ท่านจึงได้สั่งให้สาวกของท่านจำนวนหนึ่งอพยพไปยังอบิสสิเนีย
(ฮาบาซะอ์หรือเอธิโอเปียในปัจจุบัน)
ซึ่งกษัตริย์อัลาบายาซีร์แห่งอบัสสิเนียเป็นชนต่างศาสนิก แต่เป็นกษัตริย์
ที่มีคุณธรรมสูงนับเป็นการอพยพครั้งแรกของมุสลิมที่มีขึ้นในปี ฮ.ศ.ที่ 5
กษัตริย์ อัลบายาซีร์ แห่งอบิสสิเนีย ได้ให้การตอนรับบรรดามุสลิม
และทรงประทานที่พำนักให้ผู้อพยพเหล่านั้น
ต่างมีความสุขที่ได้อยู่กับสันติภาพความมั่นคงและเสรีภาพในการนับถือศาสนา
และในปี ฮ.ศ.ที่ 6 มีการอพยพของมุสลิมไปยังอบิสสิเนียอีกครั้งหนึ่งซึ่งครั้งนี้มุชรีกีนจากมักกะฮ์
ได้ส่งตัวแทนไปเจรจากับกษัตริย์อัลบายาซีร์แห่งอบิสสีเนีย
ขอรับผู้อพยพทั้งหมดกลับมักกะฮ์
เพื่อรับโทษและเมื่อได้มีการซักถามได้ความอย่างชัดแจ้งแล้ว
กษัตริย์อัลบายาซีร์แห่งอบิสสิเนียได้ ตรัสว่า บรรดามุสลิมมีอิสระ ที่จะอยู่อาศัยในราชอาณาจักรของพระองค์ได้ตราบที่พวกเขาต้องการซึ่งสร้างความผิดหวังให้กับมุชรีกีนมักกะฮ์เป็นอย่างมาก
นั้นเป็นการชี้ให้เห็นว่า
“มุสลิมสามารถที่จะอยู่ที่ใดก็ได้ที่มีผู้ปกครองที่มีคุณธรรมเฉกเช่นที่ศาสนาได้ส่งสาวกของท่านไปยังอบิสสิเนีย”
ซึ่งสอดคล้องกับคณะ
OIC
ซึ่งได้เดินทางมาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ในห้วงเดือน ก.พ.61ที่ผ่านมา
ได้กล่าวถึงเรื่องการขัดแย้งทางศาสนาซึ่งกลุ่มที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนนำมากล่าวอ้างผูกโยงให้เป็นปัญหาความขัดแย้งนั้น
จริงแล้วปัญหาที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นเรื่องปกติในประเทศที่มีชนกลุ่มน้อยทั่วๆ
ไปในโลกซึ่งประเทศไทยให้การดูแลและให้ความสำคัญต่อพี่น้องมุสลิมดีกว่าประเทศอาหรับบางประเทศเสียอีก
ซึ่งประเทศไทยได้ให้ความสำคัญและความเท่าเทียมกัน
เพราะฉะนั้นแนวทางการแก้ปัญหาคือการใช้แนวทางสันติวิธีสร้างความเข้าใจและให้เกียรติ
ยอมรับซึ่งกันและกัน ถือได้ว่าการแก้ปัญหาที่ทางรัฐบาลไทยเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่สันติภาพที่แท้จริงได้
คณะองค์การความร่วมมืออิสลาม
ยังกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่และประชาชนที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมย้ำว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในขณะนี้
ไม่ใช่ปัญหาความขัดแย้งเรื่องศาสนา หรือ ปัญหาเรื่องชาติพันธุ์
เพราะผ่านมารัฐบาลไทยได้ทุ่มเทสรรพกำลังทุกภาคส่วน
เพื่อแก้ไขปัญหาได้เป็นอย่างดี
และยังแสดงความชื่นชมเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงานทุกฝ่ายในการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี
จากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้
โอไอซีได้แสดงจุดยืนว่า โอไอซีไม่มีนโยบายแทรกแซงทางการเมือง
โอไอซีย้ำชัดไม่เห็นด้วยกับการต่อสู้ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน
และขอประณามผู้ที่ก่อเหตุรุนแรงทุกระดับ
การฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ไม่ว่าจะเป็นมุสลิมหรือไทยพุทธ
คัมภีร์อัลกรุอานบอกไว้ว่า การฆ่าหนึ่งชีวิตเหมือนกับฆ่าคนทั้งโลก
และโอไอซีไม่สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนออกจากประเทศไทย
นอกจากนี้
โอไอซียังได้กล่าวชื่นชมความเป็นอยู่ในสังคมพหุวัฒนธรรม
ประทับใจต่อความสมัครสมานสามัคคีของชุมชนชาวไทยพุทธ ชาวไทยเชื้อสายจีน
และชาวไทยมุสลิมที่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติซึ่งจากการเยือนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในครั้งนั้นสามารถยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่
ไม่ใช่เกิดจากความขัดแย้งทางด้านศาสนาแต่อย่างใด.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น