เมื่อ
21 มิ.ย.65 ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดปัตตานีอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำเลขที่ อ.668/64
โดยมี นายมัฮหมูด หาแว เป็นจำเลยความผิดฐานก่อการร้าย อั้งยี่ ซ่องโจร
ทำให้เสียทรัพย์ พ.ร.บ.อาวุธปืนและวัตถุระเบิดฯ
จากเหตุการณ์
คนร้ายลอบวางระเบิดเสาไฟฟ้าหลายจุด ในพื้นที่ของจังหวัดปัตตานี เมื่อ 7 เม.ย.60 เหตุการณ์ในครั้งนั้น
ส่งผลให้ไฟฟ้าดับในวงกว้างประชาชนได้รับความเดือนร้อน ขณะที่เส้นทางไม่สามารถสัญจรได้
จากคดีดังกล่าว
โดยศาลชั้นต้น พิพากษา "จำคุก 4 ปี" เนื่องจากศาลชั้นต้น เห็นว่า
วัตถุระเบิดในที่เกิดเหตุนั้นไม่ทำงาน เจ้าหน้าที่จึงตรวจยึดไว้เป็นของกลาง
และเมื่อตรวจพิสูจน์หลักฐาน พบสารพันธุกรรมดีเอ็นเอของจำเลยสอดคล้องกับคำรับผลดำเนินกรรมวิธีซักถามของจำเลย
จึงเชื่อว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดจริงตามฟ้อง พิพากษาว่า
จำเลยมีความผิดฐานพยายามทำให้เสียทรัพย์ และมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต(ขังจำเลย
ระหว่างอุทธรณ์)
ทำไมหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์(DNA) จึงสำคัญ ?
นอกจากพยานหลักฐานจากกล้องวงจรปิดที่บ่งบอกสรีระ
ชุดที่ใส่ และพฤติกรรม อีกสิ่งสำคัญคือหลักฐานด้านนิติวิทยาศาสตร์
ที่ทางกองพิสูจน์หลักฐานได้เก็บตัวอย่าง ก็คือ“เหงื่อ”
จากบทความ
“เหงื่อ หลักฐานใหม่ในการพิสูจน์บุคคล” โดย พรรณพร กะตะจิตต์
ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ของ “ศูนย์เรียนรู้ดิจิทัลระดับชาติด้านวิทยาศาสตร์
คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี สสวท.” ได้ให้ข้อมูลไว้เกี่ยวกับการใช้ “เหงื่อ”
มาเป็นเครื่องมือพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลในคดีอาชญากรรมว่า
เพิ่งถูกนำมาใช้ไม่นานมานี้ หลังจากใช้รอยนิ้วมือกันมานานกว่าศตวรรษ
ทุกตารางเซนติเมตรของผิวหนังมีต่อมเหงื่อ
100 ต่อมต่อตารางเซนติเมตรหรือประมาณ 650 ตารางนิ้ว ซึ่งไม่ว่าจะเกิดเหงื่อด้วยเหตุผลของอากาศร้อนหรือความวิตกกังวลอื่นใด
ผู้คนมักจะทิ้งเหงื่อไว้บนสิ่งที่พวกเขาสัมผัสแตะต้อง
ดังนั้นการหลั่งเหงื่อแต่ละครั้งจึงมีความแตกต่างและเป็นเอกลักษณ์บุคคลเช่นเดียวกับลายนิ้วมือ
โดย เหงื่อ เป็นของเหลวทางชีวภาพที่เกิดขึ้นบนผิวของมนุษย์ ประกอบด้วยลำดับของ
"กรดอะมิโน" และ "สารเมตาบอไลท์" (Metabolite) ซึ่งความเข้มข้นของเหงื่อในแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันออกไป
และนั่นทำให้ตัวอย่างเหงื่อมีลักษณะที่ค่อนข้างเฉพาะตัว
อย่างไรก็ดีนักเคมีวิเคราะห์อธิบายว่า
มี สารเมตาบอไลท์ 3 ชนิดที่สามารถใช้เพื่อระบุลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล ได้แก่ ยูเรีย(Urea)
แลคเทต (Lactate) และกลูตาเมต (Glutamate)
ที่มีความแตกต่างกันในแต่ละคน
ทั้งนี้นักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองเก็บตัวอย่างเหงื่อบริเวณท่อนแขนของอาสาสมัคร
25 ตัวอย่าง ทดลองเปรียบเทียบกับตัวอย่างที่สังเคราะห์ขึ้น 25 ตัวอย่าง ปรากฏว่า
การทดลองสามารถแยกแยะความแตกต่างของแต่ละตัวอย่างได้ตามความเข้มข้นของเมตาบอไลท์
โดยใช้เวลาสั้นๆ เพียง 30-40 วินาทีในการวิเคราะห์เท่านั้น
การวิเคราะห์เมตาบอไลท์จากเหงื่อจะสามารถช่วยลดขั้นตอนหรือปัญหา
ในกรณีไม่มีหลักฐานดีเอ็นเอเพียงพอต่อการวิเคราะห์
หรืออาจต้องใช้ระยะเวลานานในการรอผลทางห้องปฏิบัติการ
ซึ่งอาจส่งผลให้การจับกุมหรือระบุตัวผู้ต้องสงสัยได้ไม่ทันการณ์
แต่จากการตรวจหาดีเอ็นเอด้วยเหงื่อนั้นสามารถทำได้ในระยะเวลารวดเร็ว
อย่างไรก็ดี
แม้จะตรวจได้รวดเร็ว แต่บทความดังกล่าวได้ระบุเพิ่มเติมถึงข้อจำกัดเรื่อง
"ความเข้มข้นของเมตาบอไลท์"
ที่ยังไม่อาจสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างของยีนที่เฉพาะเจาะจงในแต่ละบุคคลได้เท่ากับลายนิ้วมือ
เนื่องด้วยปัจจัยในเรื่องการรับประทานอาหาร สุขภาพ
และการออกกำลังกายที่ทำให้ให้สารเมตาบอไลท์เปลี่ยนแปลงไปได้
ดังนั้นการเก็บข้อมูลและติดตามความเปลี่ยนแปลงของเหงื่อของแต่ละบุคคลจึงถือเป็น
"ขั้นตอนที่เพิ่มเข้ามา" ในการพิสูจน์หลักฐาน โดยอย่างน้อยๆ
"เหงื่อ" ก็สามารถระบุ "เพศ" และ "อายุ"
ได้โดยประมาณ!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น