การบังคับใช้กฎหมายอิสลามในประเทศไทย
มีมาตั้งแต่สมัยของสุโขทัย อยุธยา และกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ในสมัยดังกล่าวนโยบายด้านการปกครอง
ที่มีต่อบริเวณที่เรียกว่าจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นรูปแบบหัวเมืองประเทศราช
กฎหมายอิสลามในสมัยนั้น
จึงมีฐานะเป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์ของประชากรในหัวเมืองเหล่านั้น
โดยที่รัฐบาลกลางไม่ได้นำเอาหลักกฎหมายแพ่งที่ใช้อยู่ทั่วไปๆ
มาบังคับใช้ในหัวเมืองเหล่านี้
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
แม้ว่าการใช้กฎหมายอิสลามยังคงมีอยู่ แต่ในเวลาต่อมาได้มีการปรับปรุงแนวทางการปกครองหัวเมืองเหล่านี้ใหม่
กระนั้น รัฐบาลก็คงให้ใช้กฎหมายอิสลามอยู่เช่นเดิม
ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นรากฐานที่สำคัญของการใช้กฎหมายอิสลามจนถึงปัจจุบัน
การใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี
นราธิวาส ยะลา และสตูล ได้ดำเนินมาจนถึงปี 2486
ซึ่งอยู่ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ในระหว่างนั้นรัฐบาลโดยจอมพลแปลก (ป.)
พิบูลสงคราม
ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้ประกาศใช้นโยบายรัฐนิยมและชาตินิยม
จึงได้ยกเลิกการใช้กฎหมายอิสลามในเขต 4 จังหวัดดังกล่าว ส่งผลทำให้บทบัญญัติบรรพ 5
และบรรพ 9
แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้ถูกบังคับใช้ครอบคลุมไปถึงจังหวัดปัตตานี
นราธิวาส ยะลา และสตูลด้วย
นับตั้งแต่นั้นมา
ประชาชนชาวมุสลิมทุกคนต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติแห่งกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วย ครอบครัวและมรดกเช่นเดียวกับประชาชนที่นับถือศาสนาอื่นๆ
ของประเทศ(เด่น โต๊ะมีนา,
ศาลศาสนา เอกสารสำหรับการนำเสนอต่อสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540)
การยกเลิกการบังคับใช้กฎหมายอิสลาม
ว่าด้วยครอบครัวและมรดกสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนพลเมืองผู้นับถือศาสนาอิสลามที่อยู่ในเขตจังหวัดปัตตานี
นราธิวาส ยะลา และสตูลเป็นอย่างมาก
เนื่องจากเนื้อหาของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เกี่ยวกับครอบครัวและมรดก
มีความแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับหลักกฎหมายอิสลาม
ประกอบกับจอมพล
ป.พิบูลสงคราม ได้หมดอำนาจลงเมื่อสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2
รัฐบาลใหม่ของนายกรัฐมนตรี พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ จึงได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามอีกครั้ง
ในสามจังหวัดภาคใต้มีการใช้กฎหมายชะรีอะฮ์หรือกฎหมายอิสลาม
โดยเฉพาะกฎหมายที่ว่าด้วยครอบครัวหรือมรดก (Personal Law) โดยในแต่ละจังหวัดจะมีดะโต๊ะยุติธรรม
จังหวัดละ 2 คน ยะลามีเพิ่มมาอีก 1 คนในอำเภอเบตง รวมทั้งสามจังหวัดจะมีดาโต๊ะ
9 คน
ดาโต๊ะจะทำงานอยู่ที่ศาลจังหวัดและศาลเยาวชนและครอบครัว
ผู้ที่เป็นดาโต๊ะยุติธรรม
เป็นผู้ที่มีความรู้ด้านกฎหมายทั่วไปและกฎหมายอิสลามโดยการสอบคัดเลือก
ถือเป็นข้าราชการฝ่ายตุลาการของกระทรวงยุติธรรม
ทั้งนี้
สำหรับภาคใต้ในกรณีที่โจทย์และจำเลยเป็นมุสลิม ต้องใช้กฎหมายอิสลาม จะใช้กฎหมายแพ่งไม่ได้
แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นมุสลิมก็ต้องใช้กฎหมายของแผ่นดิน
เนื่องจากการใช้ดาโต๊ะยุติธรรมตัดสินคดีต้องมีค่าใช้จ่าย
ด้วยเหตุนี้โจทย์และจำเลยส่วนใหญ่ จึงหันไปใช้บริการของคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดหรือมัจญ์ลิส
แต่ที่ก่อให้เกิดความยากลำบากก็คือมัจญ์ลิสหรือคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด
ไม่มีอำนาจบังคับคดี
ในประเทศไทยมีคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดอยู่
36 จังหวัด แต่กฎหมายอิสลามจะใช้ในสี่จังหวัดเท่านั้น คือปัตตานี ยะลา นราธิวาส
และสงขลา
ทั้งนี้
จังหวัดที่มีมัสญิดสามแห่งขึ้นไปสามารถมีคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดได้
สําหรับการเรียนการสอนกฎหมายอิสลาม
จะมีอยู่ในมหาวิทยาลัยที่อยู่ในภาคใต้ของไทย เช่น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
วิทยาเขตปัตตานี มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์
หรือที่มีสอนเป็นวิชาเฉพาะอยู่ในสาขาสังคมศาสตร์ก็มีอยู่ในหลายมหาวิทยาลัยของไทย
อย่างเช่น ในมหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นต้น และในมหาวิทยาลัยอื่นๆ ในภาคใต้
อย่างเช่น
ที่มหาวิทยาลัยฟาฏอนีจะมีหลักสูตรการเรียนการสอนห้าปี เป็นหลักสูตรนิติศาสตร์ 4 ปี
ถ้าจะเรียนกฎหมายอิสลามก็เรียนเพิ่มเติมอีกหนึ่งปี โดยเรียนก่อนหลักสูตร 4
ปีหรือหลังหลักสูตร 4 ปีก็ได้ จะได้ double degree
ประเทศมุสลิมส่วนใหญ่มักใช้กฎหมายอิสลาม(ชะรีอะฮ์)
ว่าด้วยครอบครัวและมรดกเป็นด้านหลัก ส่วนกฎหมายอื่นๆ
ก็มักปฏิบัติตามแนวทางกฎหมายสากลโดยทั่วไปหรือกฎหมายที่มีจุดกำเนิดมาจากเจ้าอาณานิคมเดิมเช่นกฎหมายที่มีกำเนิดมาจากอังกฤษถูกใช้ในอียิปต์
และมาเลเซีย ส่วนกฎหมายที่มีกำเนิดมาจากฝรั่งเศสจะถูกใช้ในแอลจีเรีย (อัลญีเรีย)
ในกรณีของประเทศสิงคโปร์ ซึ่งมีชาวมุสลิมเชื้อสายมลายูอยู่ร้อยละ
14 นั้นพบว่าเมื่อสิงคโปร์ได้รับเอกราชในปี 1965 สิงคโปร์ยังคงใช้นโยบายเดิมในการบูรณาการกฎหมายอิสลามกับกฎหมายบ้านเมือง
เพื่อบังคับใช้กับพลเมืองที่เป็นมุสลิมอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม
ได้มีการพัฒนาในการกำหนดเกี่ยวกับกิจการของมุสลิมและกฎหมายครอบครัวในลักษณะที่เหมาะสมกับบริบทของสิงคโปร์
มาตรา 153 ของรัฐธรรมนูญแห่งสิงคโปร์ได้บัญญัติว่า
“สภานิติบัญญัติอาจออกบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เพื่อกำหนดกิจการศาสนาของมุสลิมและกำหนดให้มีสภาศาสนา
เพื่อเป็นที่ปรึกษาของประธานาธิบดีในเรื่องที่เกี่ยวกับกิจการของศาสนาอิสลาม”
กฎหมายฉบับนี้
ได้วางโครงสร้างระบบกฎหมายอิสลามในสิงคโปร์ โดยกำหนดให้มีองค์กรสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายอิสลาม
ได้แก่ สภาศาสนาอิสลาม (Islamic
Religious Council) สำนักงานจดทะเบียนสมรสและการหย่า สำหรับชาวมุสลิมซึ่งทำหน้าที่บริหารการสมรสและการหย่าตามกฎหมายอิสลาม
และศาลชะรีอะฮ์ (Syariah Court)
ในกรณีของบรูไนทันทีที่สุลต่าน
ฮัสซานัล โบลกียะฮ์ แห่งบรูไน ประกาศใช้ชะรีอะฮ์เป็นกฎหมายอาญาปกครองประเทศ
ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ออกมาทำนองว่า บรูไนกำลังถอยหลังเข้าคลอง
เพราะกลับไปใช้กฎหมายเก่าแก่ เป็นกฎหมายที่อาจมีผลกระทบต่อหลักสิทธิมนุษยชน
แต่ในอีกด้านหนึ่งเสียงจากประชาชนบรูไนกลับมองว่า
กฎหมายชะรีอะฮ์ต่างหากที่จะช่วยหยุดยั้งการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ไม่ว่าจะเห็นด้วยกับฝ่ายไหน
สิ่งสำคัญลำดับแรกสุดคือ การทำความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับหลักชะรีอะฮ์
และแนวโน้มของการใช้ชะรีอะฮ์ในกลุ่มประเทศมุสลิมโลก
ในทางภาษาศาสตร์แล้ว
ชะรีอะฮ์หมายถึง “ทางโล่งที่จะเดินไป”
แต่ในทางวิชาการหมายถึง
“บทบัญญัติแห่งกฎหมายอิสลามที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในทุกๆ
มิติ”
ด้วยเหตุนี้
อิทธิพลของหลักชะรีอะฮ์ จึงมีอยู่ให้เห็นเสมอในพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของชาวมุสลิมตั้งแต่เกิดจนตาย
โดยไม่ต้องรอให้ใครมาสั่งใช้
เนื่องด้วยชะรีอะฮ์คือบทบัญญัติทางกฎหมายที่มาจากพระเจ้า
แหล่งที่มาของบทบัญญัติจึงมาจาก
1. อัล-กุรอาน
ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่รวบรวมวจนะและคำบัญชาของพระเจ้า
2.
หะดีษและซุนนะฮ์ หรือคำสอนและแบบอย่างการปฏิบัติของท่านศาสดามุฮัมมัดในฐานะที่เป็นผู้มีอำนาจในการอธิบายรายละเอียดคำบัญชาของพระเจ้า
ทั้งสองแหล่งที่มานี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขตามกาลเวลาได้
คำถามคือ
หลังจากที่ท่านศาสดาจากไป มีกิจกรรมมากมายของมนุษย์เกิดขึ้น
ซึ่งหลายกรณีเป็นกิจกรรมที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และไม่มีปรากฏในอัล-กุรอานและซุนนะฮ์
ดังนั้น
ประชาคมมุสลิมจะใช้อะไรเป็นเครื่องมือในการตัดสินกิจกรรมต่างๆ เหล่านั้น?
คำตอบก็คือ
นอกจากแหล่งที่มาที่สำคัญที่สุดของหลักชะรีอะฮ์ข้างต้นแล้ว ก็ยังมี อิจญ์มาอ์
หรือความเห็นเป็นเอกฉันท์ของปวงปราชญ์ทางกฎหมายอิสลามที่ไม่ขัดต่อแหล่งที่มา
และอิจญ์ติฮาด
หรือการใช้วิจารณญาณในการนำประเด็นปัญหามาตัดสินให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของอิสลาม
ดังนั้น
แหล่งที่มาของกฎหมายอิสลามจึงอาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือแหล่งที่มาที่จะเปลี่ยนแปลงหลักการไม่ได้
กับแหล่งที่มาที่เป็นการตีความจากแหล่งที่มาประเภทแรก
ซึ่งสามารถที่จะปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยและสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป อันสะท้อนให้เห็นถึงการมีพลวัตของชะรีอะฮ์
ที่ไม่ได้หยุดนิ่งตายตัวเสียทีเดียว
หากจะแบ่งกลุ่มประเทศมุสลิมตามระบบทางกฎหมาย
ก็คงแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทกว้างๆ คือ กลุ่มประเทศที่ใช้กฎหมายอิสลามเป็นหลัก
กลุ่มประเทศที่ใช้กฎหมายอิสลามผสมกับระบบกฎหมายอื่น
และกลุ่มประเทศที่ไม่ใช้กฎหมายอิสลามเลย
ประเทศที่ใช้กฎหมายอิสลามเป็นหลัก
(อันครอบคลุมถึงกฎหมายครอบครัว กฎหมายอาญา
และบางกรณีก็รวมถึงกฎหมายที่เกี่ยวกับความเชื่อส่วนบุคคล)
กลุ่มประเทศเหล่านี้ได้แก่ อียิปต์ มอริตาเนีย ซูดาน อัฟกานิสถาน อิหร่าน อิรัก
มัลดีฟส์ ปากีสถาน กาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย เยเมน และบางพื้นที่ของอินโดนีเซีย
มาเลเซีย ไนจีเรีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
กลุ่มที่
2 คือประเทศมุสลิมที่ใช้กฎหมายแบบผสมผสาน
คือใช้ชะรีอะฮ์ในกฎหมายครอบครัวและมรดกเท่านั้น แต่ในกรณีอื่นๆ
จะมีการใช้กฎหมายสากลทั่วไป กลุ่มประเทศประเภทนี้มีมากที่สุด อันประกอบไปด้วย
แอลจีเรีย คอโมโรส จิบูตี แกมเบีย ลิเบีย (กำลังอยู่ในการเปลี่ยนไปใช้ชะรีอะฮ์)
โมร็อกโก โซมาเลีย บาห์เรน บังกลาเทศ กาซา จอร์แดน คูเวต เลบานอน มาเลเซีย โอมาน
และซีเรีย
นอกจากนี้
บางประเทศยังยินยอมให้ใช้ชะรีอะฮ์ในกฎหมายครอบครัวและมรดกสำหรับมุสลิมชนกลุ่มน้อย เช่น
อินเดีย สิงคโปร์ อังกฤษ ศรีลังกา ไทย เป็นต้น
ส่วนกลุ่มประเทศที่ไม่ใช้ชะรีอะฮ์เลยคือ
บูร์กินาฟาโซ ชาด กินีบิสเซา มาลี ไนเจอร์ เซเนกัล ตูนิเซีย
(กำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลง) อาเซอร์ไบจาน เติร์กเมนิสถาน อุซเบกิสถาน
คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน ตุรกี แอลเบเนีย และโคโซโว
และวันนี้บรูไนกำลังจะถูกเพิ่มเข้าไปในรายชื่อกลุ่มประเทศที่ใช้กฎหมายชะรีอะฮ์เป็นหลัก
และมีแนวโน้มว่าจะมีประเทศอื่นๆ
เพิ่มมากขึ้นในอนาคตอันใกล้ที่พร้อมจะใช้กฎหมายชะรีอะฮ์ในการปกครองประเทศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น