"กีตอกาเซะรายอกีตอ
- เรารักในหลวงของเรา" รอยพระบาทยาตราชายแดนใต้
"กีตอกาเซะรายอกีตอ"
- เรารักในหลวงของเรา นี่คือสิ่งที่พสกนิกรไทยมุสลิมในพื้นที่ชายแดนภาคใต้
แสดงออกถึงความจงรักภักดีและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอันเปี่ยมล้น
พื้นที่ชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่ซึ่งมีลักษณะเฉพาะพิเศษ
เนื่องจากความหลากหลายในด้านชาติพันธุ์ ศาสนา และ วัฒนธรรม
ในอดีตที่ผ่านมาปัญหาใหญ่ของพื้นที่ชายแดนภาคใต้ก็คือ
ภัยคุกคามจากขบวนการแบ่งแยกดินแดน ที่จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธ
ต่อสู้กับรัฐบาลไทยเพื่อแยกดินแดนในส่วนนี้จัดตั้งรัฐอิสระ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ทรงตระหนักถึงภัยคุกคามความมั่นคงที่ชายแดนใต้เป็นอย่างดีและในช่วงที่ทรงครองสิริราชสมบัติ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ ต่างเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียน
บำบัดทุกข์ บำรุงสุขพสกนิกรในพื้นที่นี้อย่างต่อเนื่อง
"กีตอกาเซะรายอกีตอ"
- เรารักในหลวงของเรา นี่คือสิ่งที่พสกนิกรไทยมุสลิมในพื้นที่ชายแดนภาคใต้
แสดงออกถึงความจงรักภักดีและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอันเปี่ยมล้น
สายเมือง
วิรยศิริ ผู้อำนวยการกลุ่มประสานงานโครงการ 1
สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อการประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.)
กล่าวถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มีต่อพสกนิกรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า
ความห่วงใยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีต่อพสกนิกรชาวไทยเป็นที่ประจักษ์ผ่านพระราชกรณียกิจต่างๆ
น้ำพระทัยและพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อพสกนิกรของพระองค์นั้น แผ่ครอบคลุมไปทุกหมู่เหล่า
ไม่แยกเชื้อชาติ ศาสนา
สำหรับในพื้นที่
3
จังหวัดชายแดนภาคใต้พระองค์ท่านเริ่มเสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรครั้งแรกที่จังหวัดนราธิวาส
ประมาณเดือนมีนาคม 2502 และเสด็จต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
โดยเฉพาะการแปรพระราชฐานไปที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ซึ่งสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี
2517 ถือเป็นสายใยเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับพสกนิกรชาวไทยมุสลิมในพื้นที่
พระองค์ท่านจะเสร็จเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนสิงหาคม
หลังวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระบรมราชินีนาถจนถึงประมาณต้นเดือนตุลาคม
จุดเริ่มต้นในการเข้าถึงประชาชนในพื้นที่ก็คือ
การรับสั่งให้โรงพยาบาลนราธิวาสและโรงพยาบาลสุไหงโกลก
จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ไปดูแลรักษาคนไข้ที่อำเภอแว้ง อย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์
ถือเป็นจุดเริ่มต้นงานพัฒนาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
หลังจากนั้นความสัมพันธ์ระหว่างในหลวงกับพสกนิกรชาวไทยมุสลิมในพื้นที่ก็ดำเนินต่อเนื่องเรื่อยมา
และความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นความสัมพันธ์ทั้งในด้านจิตใจและด้านการพัฒนา
ซึ่งกระจ่างชัดจากคำที่พสกนิกรในพื้นที่เรียกขานถึงกษัตริย์ของพวกเขา ซึ่งมีการพัฒนาการมาเป็นลำดับ
บ่งบอกนัยความสัมพันธ์ได้เป็นอย่างดี
เริ่มแรกชาวบ้านเรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า
"รายอซีแย" ที่แปลว่า King of Siam ซึ่งเป็นคำเรียกที่เป็นทางการมาก
ต่อมาหลังจากที่ทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในพื้นที่มากขึ้น ชาวบ้านก็เรียกว่า "รายอกีตอ"
ซึ่งแปลว่า พระมหากษัตริย์ของเรา และในระยะหลังเปลี่ยนเป็น "รายอกีตอบาเอะ"
ซึ่งแปลว่า ในหลวงของเรานี่ดี บ้างก็มักพูดกันว่า
"กีตอกาเซะรายอกีตอ" ที่แปลว่า "เรารักในหลวงของเรา"
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเข้าพระทัยในศาสนาอิสลามและวัฒนธรรมวิถีชีวิตของชาวมุสลิมในพื้นที่เป็นอย่างดี
อย่าง เช่น เวลาที่ผู้นำศาสนาเข้าเฝ้าฯ ที่ตำหนักทักษิณราชนิเวศน์
พระองค์ท่านก็บอกให้แต่งกายตามประเพณีท้องถิ่น
ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าพระองค์ท่านทรงเข้าใจความเป็นมุสลิมเป็นอย่างดี
ในขณะเดียวกัน
พระองค์ยังเป็นพระมหากษัตริย์ทีทรงทำนุบำรุงศาสนาทุกศาสนา
สำหรับศาสนาอิสลามทรงซ่อมแซมทำนุบำรุงมัสยิดหลายแห่ง อย่างเช่น
มัสยิดตันหยงที่อยู่หน้าพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ หรือ มัสยิดกลาง จังหวัดปัตตานี
ซึ่งมีรับสั่งให้ซ่อมแซมเมื่อปี 2536 หลังจากที่ทรุดโทรมมาเป็นเวลานาน
หลังการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฎรชายแดนใต้ตั้งแต่
พ.ศ. 2502 เป็นต้นมา
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเพื่อช่วยเหลือราษฎรในพื้นที่ก็ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องและมีถึง
398 โครงการ คิดเป็นงบประมาณส่วนพระองค์มากถึง 3,700-3,800 ล้านบาท โดยแยกเป็น
จังหวัดนราธิวาส 296 โครงการ ใช้งบประมาณไปประมาณ 2,700 ล้านบาท จังหวัดปัตตานี
มีอยู่ 62 โครงการ ใช้งบประมาณไป 549 ล้านบาท ในขณะที่ จังหวัดยะลา มีอยู่ 40
โครงการ ใช้งบประมาณไป 455 ล้านบาท
ในด้านการส่งเสริมวัฒนธรรม
การเสด็จแปรพระราชฐานทุกปี พระองค์ท่านจะเสด็จฯเป็นประธานและมอบรางวัลให้กับผู้ชนะในการแข่งขัน
เรือกอและ และ นกเขาชวา
อันเป็นกิจกรรมที่เป็นวิถีชีวิตของราษฎรในจังหวัดชายแดนภาคใต้
วาเด็ง ปูเต๊ะ
ภาพแห่งความจงรักภักดีและความผูกพันระหว่างพสกนิกรมุสลิม
และพระมหากษัตริย์ของพวกเขา ปรากฏผ่านชายชราคนหนึ่งนาม วาเด็ง ปูเต๊ะ
ซึ่งถูกเรียกขานว่า "พระสหายแห่งสายบุรี" ราษฎรบ้านทุ่งเคร็ด
อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ซึ่งได้เข้าเฝ้าฯในหลวงเมื่อครั้งเสด็จฯ
เยี่ยมเยียนพื้นที่ดังกล่าวซึ่งประสบปัญหาเกี่ยวกับดินเปรี้ยวเมื่อเดือนกันยายน
ฑ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นการเสด็จที่อยู่นอกเหนือหมายงานและทำให้พบเจอชายชราวัย 70
ปีในขณะนั้นที่พูดจาฉะฉานและตรงไปตรงมา
"ตอนนั้นเป๊าะทราบแล้วว่าเป็นในหลวง
แต่จะเข้าไปใกล้ๆก็ไม่กล้า เพราะว่านุ่งโสร่งตัวเดียว ไม่ได้สวมเสื้อ
พอเข้าไปใกล้ๆ ในหลวงก็บอกว่า จะมาขุดคลองชลประทานให้ พอได้ยินอย่างนั้น
เป๊าะก็ดีใจมาก คุยกันเยอะ ในหลวงคุยกับเป๊าะเป็นภาษามลายู
ท่านพูดมลายูสำเนียงไทรบุรี คุยกันก็เข้าใจเลย พอเจอกันบ่อยๆ คุยกัน
มีความเห็นตรงกัน ท่านก็เลยรับเป๊าะเป็นพระสหาย
เป๊าะบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่บอกท่านไป ทั้งหมดเป็นความจริง
พูดโกหกไม่ได้จะเป็นบาป คิดถึงท่านที่สุดเลย" วาเด็ง ปูเต๊ะ พระสหายแห่งสายบุรีระบุ
ภาพเหตุการณ์ในวันนั้น
เป็นที่ประทับใจของผู้พบเห็น
เพราะไม่มีประเทศไหนในโลกอีกแล้วที่จะเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์อย่างใกล้ชิดได้โดยไม่ต้องใส่เสื้อ
"เข้าใจ
เข้าถึง และพัฒนา" คำสั้นๆเพียงสามคำ
คือสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแนวทางในการแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้เป็นบทสรุปซึ่งได้มาจากการประกอบพระราชกรณียกิจในพื้นที่นี้มาไม่น้อยกว่า
4 ทศวรรษ
หมายเหตุ :
เนื้อหาจากหนังสือ "ตามรอยพระบาท ชาติมั่นคง" จัดพิมพ์โดย
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น