การถือศิลอดในอิสลาม
คือกระบวนการบำบัดรักษาสุขภาพทางกายและจิตใจ
การถือศีลอดในช่วงเดือนรอมฎอน
เป็นการปฏิบัติศาสนกิจของชาวมุสลิมที่หลายคนยังคงตั้งคำถามถึงเหตุผล ที่มาที่ไป
และผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ปฏิบัติ ซึ่งบทความชิ้นนี้มีคำตอบในทางการแพทย์
อันสะท้อนให้เห็นว่าหลักศาสนานั้นไม่เคยสวนทางกับหลักของธรรมชาติ...
การถือศีลอด
เป็นศาสนบัญญัติหนึ่งในหลักการอิสลาม(รุกุ่นอิสลาม) ทั้ง 5 ประการ
ได้ถูกบัญญัติลงมาในวันที่ 2 เดือนชะอฺบาน ปีที่ 2 แห่งฮิจเราะห์ศักราช ดังคำตรัส
ของอัลลอฮ์ ในบทที่ 2 (อัลบะกอเราะฮ์) โองการที่ 183 มีใจความว่า “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย
การถือศีลอดได้บัญญัติแก่พวกเจ้า ดังเช่นได้ถูกบัญญัติแก่ประชาชาติก่อนหน้าพวกเจ้าเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้ยำเกรง”
การถือศีลอดในภาษามลายู จะเรียกว่า “ปูวาซา”
แต่คนพื้นเมืองใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะกล่าวเพี้ยนว่า “ปอซอ”
ส่วนในภาษาอาหรับจะเรียกว่า “อัศเศามุ” หรือ “อัศศิยาม” ซึ่งมีความหมายว่า การละเว้น
การระงับ หรือการอดกลั้น
ส่วนความหมายทางด้านบัญญัติศาสนา
คือการระงับหรือการละเว้นจากการกิน การดื่ม การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา และการพูดจาไร้สาระ
ตลอดจนการกระทำที่ขัดต่อคุณธรรม ตั้งแต่รุ่งอรุณจนกระทั่งตะวันลับขอบฟ้า
ด้วยเจตนาเพื่อพระองค์อัลลอฮ์
เคล็ดลับ(ฮิกมะฮ์)
การถือศีลอด
เราได้อะไรจากการถือศีลอด
เป็นคำถามที่ตอบยาก ขึ้นอยู่กับความศรัทธา
ความรู้ความเข้าใจของแต่ละคนเกี่ยวกับการถือศีลอด
โดยเฉพาะเข้าใจถึงหลักการปฏิบัติของท่านศาสดามุฮัมหมัดฯ ที่ได้กระทำเป็นแบบอย่างให้เราได้ปฏิบัติตาม
เป็นกระบวนการหนึ่งที่ประกอบทั้งศาสนกิจในภาคกลางวันและภาคกลางคืนเป็นเวลา 1 เดือน
ในแง่ของศาสนา
หวังว่าผู้ที่ผ่านการฝึกอบรม การทดสอบในเดือนรอมฎอนนี้ทุกคน
จะเป็นผู้ที่มีความยำเกรงต่ออัลลอฮ์
ส่วนในแง่ทางการแพทย์หรือสุขภาพ
ท่านศาสดามุฮัมหมัดฯ ได้กล่าวสั้นๆว่า “จงถือศีลอด
เพื่อสูเจ้าจะได้มีสุขภาพที่ดี” รายงานโดย อิบนุ ซุนนี และอาบู นาอีม
การที่เราไม่กินไม่ดื่มเป็นเวลาประมาณ
13 ชั่วโมงเศษ เราจะมีสุขภาพที่ดีได้อย่างไร
อาจเป็นหลักสูตรใหม่ที่ตรงกันข้ามกับหลักสูตรที่เน้นการบริโภค วันละ 3 มื้อ
แต่หลักสูตรนี้จะสอดคล้องกับสำนักการแพทย์ธรรมชาติบำบัด ที่จะเน้นการบำบัดรักษาโรคด้วยวิธีการอดอาหารเป็นหลัก
“การถือศิลอด” มิใช่
“ความอดอยาก” เพราะการถือศิลอดมีจุดม่งหมายและหลักปฏิบัติอย่างชัดเจน มุอฺมิน/ผู้ศรัทธา
เชื่อว่าจะต้องมีฮิกมะฮฺ (เคล็ดลับ)อย่างแน่นอน อย่างเช่น
สำนักการแพทย์ธรรมชาติบำบัดที่เน้นการบำบัดรักษาโรคด้วยวิธีการอดอาหารเป็น หลัก
ในโอกาสนี้จะขออธิบายถึงหลักการบางอย่างที่เกี่ยวกับการถือศิลอดว่า มีความสอดคล้อง
หรือขัดต่อหลักวิชาการแพทย์อย่างไรหรือไม่ เป็นพอสังเขป ดังนี้.-
1. ระยะเวลาการถือศิลอด
การถือศิลอดรอมฏอน
หรือ ถือศิลนัฟสูก็ดี จะใช้ระยะเวลาในการละเว้นจากสิ่งต้องห้าม โดยเฉลี่ยประมาณ 13
ชั้วโมงต่อวัน ซึ่งโดยปกติเราทุกคน มีการอดอาหารอยู่แล้ว ครั้งละ 10 -12 ชั่วโมง
คือหลังอาหารเย็น(ค่ำ) จนถึงการกินอาหารในวันเช้าใหม่
และในการตรวจวินิจฉัยโรคบาอย่าง
เช่นการเจาะเลือดผู้ป่วยก็ต้องอดอาหารเป็นระยะเวลา10 -12 ชั่วโมง เช่นกัน
ดังนั้นจะเห็นว่าระยะยเวลาของการถือศิลอด ไม่ขัดต่อหลักการตามธรรมชาติ(ซุนนะตุลลอฮฺ)
หรือทางการแพทย์แต่อย่างใด
แต่จะมีความแตกต่างกันอยู่ที่ช่วงเวลากลางวันหรือกลางคืน
ซึ่งการถือศิลอดยึดเอาช่วงเวลากลางวันเป็นหลัก
ก็เพราะมีจุดประสงค์ที่มากกว่าการอดอาหารทั่วไปนั้นอง
2. การเปลี่ยนแลงในร่างกาย
การถือศิลอดจะทำให้ร่างกายต้องขาดพลังงานจากสาร
อาหารและต้องสูญเสียน้ำจากการขับถ่ายออกจากร่างกาย การสูญเสียน้ำมากกว่า 2%
ของน้ำหนักตัวจะทำให้รู้สึกกระหายน้ำ
และเมื่อระดับในน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดและเซลล์ลดลง ก็จะทำให้รู้สึกหิว
ซึ้งจะเกิดอาการหลังจากการอดไปแล้วประมาน 6-12 ชั่วโมง ซึ่งเรียกนี้ว่าระยะหิวโหย
ระดับน้ำตาลกลลูโคส และน้ำลดที่ลดลงจะกระตุ้นเซลล์ประสาท(นิวรอน)
บริเวณฮัยโปทาลามัส (Hypothalamus)
ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมความหิว, ศูนย์อิ่มและศูนย์กระหายน้ำ
สำหรับคนที่มีร่างกายปกติ
มีเจตนา(นียัต) อย่างแน่วแน่และมีความเชื่อมั่นต่อบทบัญญัติของอัลลอฮฺ (ศุบหฯ) แน่นอนจะไม่ทำให้เขาถึงขั้นมีอาการหน้ามืดหรือหมดสติไป
เพราะระบบต่างๆ ในร่างกายจะช่วยประสานงานกันโดยอัตโนมัต เพื่อที่จะรักษาสมดุลหเกิดขึ้นใน
ร่างกาย ในระยะแรกร่างกายจะเริ่มมีการสลายพลังงานในรูปของกลัยโคเจน
ที่เก็บสะสมไว้ในตับและกล้ามเนื้อ โดยมีฮอร์โมนกลูกากอนจากตับอ่อนมาช่วยในปฏิกิริยาเคมีนี้จะได้น้ำตาลกลูโคส
เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานต่อไป ส่วนต่อมหมวกไต(Adrenal Gland) ในส่วนใน(Medulla)
ก็จะถูกกระตุ้นให้หลั่งเอพิเนฟริน(Epinephrine) เพิ่มมากขึ้น และมีผลทำให้เซลล์อื่นๆ ใช้พลังงานลดน้อยลงด้วย
ถ้าพลังงานทีได้รับจากการสลายกลัยโคเจนไม่เพียงพอ
ก็จะสลายพลังงานสำรองในรูปของไขมัน ซึ่งกรดไขมันอิสนะออกมาสู่กระแสเลือด
และจะถูกเปลี่ยนไปเป็นกลูโคสเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานต่อไป
ส่วนการรักษาดุลน้ำและเกลือแร่ก็เป็นหน้าที่ของ Hypothalamus เช่นกัน ที่จะกระตุ้นให้ต่อมใต้สมองได้หลั่งฮอรโมน Vesoperssine หรือ ADH จะมีผลทำให้ไตมีการดูดซึมน้ำกลับมาใช้เพิ่มมากขึ้นจึงทำให้ปัสสาวะน้อยลงและ
มีสีเข้มมากกว่า ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าอัลลอฮฺ (ศุบหฯ)
พระองค์ทรงรอบรู้ยิ่งเกี่ยวกับการทำงานของระบบต่างๆในร่างกายของมนุษย์และ
พระองค์ก็ได้กำชับให้เราศึกษาเกี่ยวกับตัวของเราเอง ดังคำตรัสของอัลลอฮฺ (ศุบหฯ)
ความว่า : "และในตัวของพวกเจ้า พวกเจ้าไม่เห็นอะไรดอกหรือ ?" (อัซ-ซารียาต 51 : 52)
3. การละศีลอด
ท่านศาสดามูฮัมหมัด
ได้แนะนำวิธีการละศิลอดไว้อย่างไร ? เมื่อเวลาละศิลอด
อิสลามให้เรารีบละศิลอด ก่อนที่จะดำรงการละหมาด
และแนะนำให้ละศิลอดด้วยลูกอินทผลัมหรือด้วยน้ำ มีรายงานจากท่านอะนัส อิบน มาลิก
(รอฏ ฯ) กล่าวว่า “ปรากฏว่าท่านนบี
ละศิลอดด้วยอินทผลัมที่สุกงอมก่อนที่จะไปละหมาด
ถ้าไม่มีอินทผลัมที่สุกงอมก็จะแก้ด้วยอินทผลัมที่แห้ง
ถ้าหากไม่มีอินทผลัมที่แห้งก็จะกระจิบน้ำหลายกระจิบ” (บันทึกโดย อะหมัด,
อะบู ดาวูด, อิบนุคุไซมะฮ และอัตตัรมีซีย์)
ในลูกอินทผลัมมีอะไร
หรือ ?
จากการวิจัยทางด้านโภชนาการ ทำให้เราทราบว่า
ในลูกอินทผลัมที่สุกงอมนั้นประกอบด้วย น้ำตาลฟรุกโตส, น้ำ,
วิตามิน และแร่ธาตุ
โดยเฉพาะน้ำตาลฟรุกโตสจักเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานแก่รร่างกายชนิดหนึ่ง
มีการดูดซึมบริเวณลำไส้เล็ก โดยวิธี Facilitate diffusion ซึ่งไม่ต้องใช้พลังงาน
ส่วนน้ำตาลกลูโคสและกาแลกโตสนั้นจะดูดซึมแบบ Secondary Active ซึ่งต้องอาศัยทั้งตัวพา และพลังงาน
ดังนั้นในสภาวะที่ร่างกายกำลังอ่อนเพลีย จากการขาดพลังงานและน้ำ
ลูกอินทผลัมน่าจะเป็นผลไม้ที่ดีชนิดหนึ่ง สำหรับผู้ที่ถือศิลอด ส่วนผลไม้ชนิดอื่นๆที่มีรสหวานก็สามารถทานได้
(แต่ไม่ใช่ซุนนะฮ) ในทางตรงกันข้าม ถ้าละศิลอดด้วยน้ำเย็น หรืออาหารหนัก
และอิ่มมากจรเกินไปก่อนจะไปละหมาดแทนที่เราจะได้พลังงานกลับคืนมาอย่างเร็ว
เราต้องกลับเสียพลังงานไป เนื่องจากเลือดจะถูกส่งไปยังกระเพาะอาหาร และลำไส้เพิ่มมากขึ้น
ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองย้อยลง (สมองต้องการนำตาลกลูโคสประมาณ 40% จากทั้งหมด)
จึงทำให้มีอาการมึนงง, เวียนศรีษะ, อ่อนเพลีย,
แน่นหน้าอกและง่วงซึมได้ ดังนั้นในขณะที่แก้ศิลอด ท่านนบี ได้กล่าว คำดุอาว่า
ความว่า “ความกระหายน้ำได้สูญเสีย
เส้นโลหิตได้ชุมชื่นและจะได้รับการตอบแทนอย่างแน่นอน อินซาอัลลออฺ” (
อะบูดาวูด ,
อัลบัยฮากีย์ และอัลฮากิม
4. จุดประสงค์ของการถือศิลอด
มนุษย์อาจจะมีฐานะที่สูงส่ง
หรือต่ำต้อยกว่าสัตว์เดรัจฉาก็ได้
ขึ้นอยู่กับความศรัทธาและอิบาดะฮของเขาต่ออัลลอฮฺ (ศุบหฯ) ประกอบกับความสามารถในการใช้สติปัญญาละจิตสำนึก
เพื่อเอาชนะอารมณ์ใฝ่ต่ำหรือกิเลสได้
จะต้องผ่านการฝึกอบรมเป็นการพิเศษอย่างต่อเนื่องกับปัจจัยที่มีความสำคัญ
สำหรับชีวิตโดยมรเป้าหมายที่ชัดเจน เช่นการถือศิลอดรอมฏอน
ทำไมเราจะต้องอดน้ำอดอาหาร ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต
โดนปกติแล้ว เป็นสิ่งที่ได้อนุมัติ(ฮาลาล) สำหรับมนุษย์
รวมถึงการหลับนอนร่วมรสระหว่างสามีภรรยาในเวลากลางวันต้องกลับมาเป็นสิ่งที่
ต้องห้ามในเดือนรอมฏอน คำตอบก็คือ เพื่อพิสูจน์ความเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง
เพื่อแสดงให้เห็นว่า ความรู้สึกหิวโหยหรืออารมณ์ ใฝ่ต่ำ เขาสามารถควบคุมได้ ซึ่งต่างกับสัตว์เดรฉานที่พร้อมจะสนองตอบอารมณ์อยากใคร่ของมันได้ทุกเมื่อ
ดังนั้นเมื่อเดอนรอมฏอนสิ้นสุดแล้ว จะมีการเฉลิมฉลองความสำเร็จที่เรียกว่าอีฎิลฟิตรี(การกลับสู่ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง)
คือการมีใจที่บริสุทธิ์ เข้มแข็ง หลุดพ้นจากการครอกงำของของฮาวานัฟสู(กามและกามารมณ์)
หรือชัยฏอน(มารร้าย)นั่นเอง
ดังนั้นการดำรงชีวิตของผู้ศรัทธาทุกคน
หลังจากรอมฏอนแล้ว จะเปรียบเสมือนชีวิตของคนที่ในสภาวะการถือศิลอดตลอดไป
เขาจะต้องอดกลั่น ละเว้นจากการกระทำในสิ่งที่เป็นฮารอม (ทุจริต, คอรัปชั่น, คดโกง,รับสินบน,รับส่วย,กินดอกเบี้ย)
เป็นต้น และต้องงหากไกลการกระทำซีนา(ผิดร่วมประเวณี)
ได้อย่างง่ายดายด้วยความภาคภูมิใจ เพราะเขาได้บรรลุมรรคผลถึงขึ้น อัล มุตตากีน
(ผู้ยำเกรง,
ผู้สำรวม) นั้นเอง ซึ่งอัลลออฮฺ (ศุบหฯ) ได้ให้คำมั่นสัญญาว่า “แท้จริงอัลลอฮฺจะทรงรับงานของผู้ตักวาเท่านั้น”
(อัลมาอีดะฮ 5 :27)
จากคำอธิบายโดยย่อๆข้างต้น
พอจะสรุปได้ว่าแท้จริงการถือศิลออดนั้น ไม่ขัดต่อหลักกการแพทย์แต่อย่างใด
เพราะคุณสมบัติบางประการของผู้ที่ถือศิลอดนั้น ต้องการให้ผู้ศรัทธามีสุขภาพดี
และมิใช่ผู้ที่มีอุปสรรบางอย่าง(ดูรายละเอียดในวิชาฟิกฮฺ) ส่วนบุคคลที่มีอุปสรรจริงๆ
จะได้รับการผ่อนผัน หรือยกเว้นจากการถือศิลอด โดยบุคคลกลุ่มหนึ่งจะต้องถือศิลอดใช้
และกลุ่มหนึ่ง ต้องจ่ายฟิดยะฮแทน นั้นก็เป็นเพราะความเมตตา
และทรงรอบรู้ของอัลลลอฮฺ.(ซ.บ.) เกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมี
กลไกลการทำงานของอวัยวะต่างๆในร่างกายมนุษย์นั้นเอง แน่นอนมิใช่ความประสงค์ของอัลลลอฮฺ
หากว่าอิบาดะฮ์นั้นจะนำไปสู่ความสูญเสีย(ทำให้เกิดโรค) แก่บ่าวของพระองค์
มีนักวิชาการอเมริกาคนหนึ่งชื่อนายแพทย์ Allan Cott เขาได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า
“Way Fast ? ” (ทำไม่ต้องถือศิลอด)
ซึ่งเป็นผลจากกการวิจัยของเขาจากหลายๆประเทศ เขาได้สรุปถึงเคล็ดลับของการถือศิลอดไว้
10 ข้อ ดังนี้.-
to feel better
physically and mentally. = ทำให้รู้สึกว่ามีสุขภาพและจิตใจที่ดีขึ้น
to look and
feel younger. = ทำให้มองเห็นและรู้สึกอ่อนเยาว์ขึ้น
to clean out
the body. = ทำให้ร่างกายสะอาดสะอ้าน
to lower blood
pressure and cholesterol levels = ช่วยลดความดันโลหิตสูง
และระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
to get more out
of sex = ช่วยลดความรู้สึกอารมณ์ใคร่ (เซ็กส์)
to let the body
health itself = ช่วยให้ร่างกายบำบัดตนเอง
to relieve the
tension = ช่วยลดความตรึงเครียด
to sharp the sense
= ช่วยให้สติปัญญาเฉียบแหลม
to again
control of ourself = ทำให้สามารถควบคุมตนเองได้
to slow the
aging process = ช่วยชะลอความชรา
นอกจากฮิกมะฮดังกล่าวแล้ว ท่านนบีมุฮัมหมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) ยังกล่าวไว้ มีใจความ “ แด่ผู้ถือศิลอดนั้น เขาจะได้รับความสุข 2 ประการคือ ความสุขเมื่อถึงยามละศิอด และจะมีความสุขเมื่อได้พบกับผู้อภิบาลของเขา (ในวันกียามัต) ” พร้อมกับรางวัลที่สูงสุดคือสวนสวรรค์ ซึ่งเขาจะเดินเข้าทางประตู อัร-ร็อยยาน ที่ได้สร้างเฉพาะแก่บรรดาผู้ที่ถือศิลอดด้วยความสุจริตใจต่ออัลลอฮฺ (ศุบหฯ) เท่านั้น ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น