วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2565

การถือศีลอดในทัศนะทางการแพทย์

การถือศิลอดในอิสลาม คือกระบวนการบำบัดรักษาสุขภาพทางกายและจิตใจ

การถือศีลอดในช่วงเดือนรอมฎอน เป็นการปฏิบัติศาสนกิจของชาวมุสลิมที่หลายคนยังคงตั้งคำถามถึงเหตุผล ที่มาที่ไป และผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ปฏิบัติ ซึ่งบทความชิ้นนี้มีคำตอบในทางการแพทย์ อันสะท้อนให้เห็นว่าหลักศาสนานั้นไม่เคยสวนทางกับหลักของธรรมชาติ...

        การถือศีลอด เป็นศาสนบัญญัติหนึ่งในหลักการอิสลาม(รุกุ่นอิสลาม) ทั้ง 5 ประการ ได้ถูกบัญญัติลงมาในวันที่ 2 เดือนชะอฺบาน ปีที่ 2 แห่งฮิจเราะห์ศักราช ดังคำตรัส ของอัลลอฮ์ ในบทที่ 2 (อัลบะกอเราะฮ์) โองการที่ 183 มีใจความว่า “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย การถือศีลอดได้บัญญัติแก่พวกเจ้า ดังเช่นได้ถูกบัญญัติแก่ประชาชาติก่อนหน้าพวกเจ้าเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้ยำเกรง

         การถือศีลอดในภาษามลายู จะเรียกว่า “ปูวาซา” แต่คนพื้นเมืองใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะกล่าวเพี้ยนว่า “ปอซอ” ส่วนในภาษาอาหรับจะเรียกว่า “อัศเศามุ” หรือ “อัศศิยาม” ซึ่งมีความหมายว่า การละเว้น การระงับ หรือการอดกลั้น

         ส่วนความหมายทางด้านบัญญัติศาสนา คือการระงับหรือการละเว้นจากการกิน การดื่ม การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา และการพูดจาไร้สาระ ตลอดจนการกระทำที่ขัดต่อคุณธรรม ตั้งแต่รุ่งอรุณจนกระทั่งตะวันลับขอบฟ้า ด้วยเจตนาเพื่อพระองค์อัลลอฮ์

เคล็ดลับ(ฮิกมะฮ์) การถือศีลอด

       เราได้อะไรจากการถือศีลอด เป็นคำถามที่ตอบยาก ขึ้นอยู่กับความศรัทธา ความรู้ความเข้าใจของแต่ละคนเกี่ยวกับการถือศีลอด โดยเฉพาะเข้าใจถึงหลักการปฏิบัติของท่านศาสดามุฮัมหมัดฯ ที่ได้กระทำเป็นแบบอย่างให้เราได้ปฏิบัติตาม เป็นกระบวนการหนึ่งที่ประกอบทั้งศาสนกิจในภาคกลางวันและภาคกลางคืนเป็นเวลา 1 เดือน

        ในแง่ของศาสนา หวังว่าผู้ที่ผ่านการฝึกอบรม การทดสอบในเดือนรอมฎอนนี้ทุกคน จะเป็นผู้ที่มีความยำเกรงต่ออัลลอฮ์

         ส่วนในแง่ทางการแพทย์หรือสุขภาพ ท่านศาสดามุฮัมหมัดฯ ได้กล่าวสั้นๆว่า “จงถือศีลอด เพื่อสูเจ้าจะได้มีสุขภาพที่ดี” รายงานโดย อิบนุ ซุนนี และอาบู นาอีม

         การที่เราไม่กินไม่ดื่มเป็นเวลาประมาณ 13 ชั่วโมงเศษ เราจะมีสุขภาพที่ดีได้อย่างไร อาจเป็นหลักสูตรใหม่ที่ตรงกันข้ามกับหลักสูตรที่เน้นการบริโภค วันละ 3 มื้อ แต่หลักสูตรนี้จะสอดคล้องกับสำนักการแพทย์ธรรมชาติบำบัด ที่จะเน้นการบำบัดรักษาโรคด้วยวิธีการอดอาหารเป็นหลัก

“การถือศิลอด” มิใช่ “ความอดอยาก” เพราะการถือศิลอดมีจุดม่งหมายและหลักปฏิบัติอย่างชัดเจน มุอฺมิน/ผู้ศรัทธา เชื่อว่าจะต้องมีฮิกมะฮฺ (เคล็ดลับ)อย่างแน่นอน อย่างเช่น สำนักการแพทย์ธรรมชาติบำบัดที่เน้นการบำบัดรักษาโรคด้วยวิธีการอดอาหารเป็น หลัก ในโอกาสนี้จะขออธิบายถึงหลักการบางอย่างที่เกี่ยวกับการถือศิลอดว่า มีความสอดคล้อง หรือขัดต่อหลักวิชาการแพทย์อย่างไรหรือไม่ เป็นพอสังเขป ดังนี้.-

1. ระยะเวลาการถือศิลอด

การถือศิลอดรอมฏอน หรือ ถือศิลนัฟสูก็ดี จะใช้ระยะเวลาในการละเว้นจากสิ่งต้องห้าม โดยเฉลี่ยประมาณ 13 ชั้วโมงต่อวัน ซึ่งโดยปกติเราทุกคน มีการอดอาหารอยู่แล้ว ครั้งละ 10 -12 ชั่วโมง คือหลังอาหารเย็น(ค่ำ) จนถึงการกินอาหารในวันเช้าใหม่ และในการตรวจวินิจฉัยโรคบาอย่าง เช่นการเจาะเลือดผู้ป่วยก็ต้องอดอาหารเป็นระยะเวลา10 -12 ชั่วโมง เช่นกัน ดังนั้นจะเห็นว่าระยะยเวลาของการถือศิลอด ไม่ขัดต่อหลักการตามธรรมชาติ(ซุนนะตุลลอฮฺ) หรือทางการแพทย์แต่อย่างใด แต่จะมีความแตกต่างกันอยู่ที่ช่วงเวลากลางวันหรือกลางคืน ซึ่งการถือศิลอดยึดเอาช่วงเวลากลางวันเป็นหลัก ก็เพราะมีจุดประสงค์ที่มากกว่าการอดอาหารทั่วไปนั้นอง

2. การเปลี่ยนแลงในร่างกาย

การถือศิลอดจะทำให้ร่างกายต้องขาดพลังงานจากสาร อาหารและต้องสูญเสียน้ำจากการขับถ่ายออกจากร่างกาย การสูญเสียน้ำมากกว่า 2% ของน้ำหนักตัวจะทำให้รู้สึกกระหายน้ำ และเมื่อระดับในน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดและเซลล์ลดลง ก็จะทำให้รู้สึกหิว ซึ้งจะเกิดอาการหลังจากการอดไปแล้วประมาน 6-12 ชั่วโมง ซึ่งเรียกนี้ว่าระยะหิวโหย ระดับน้ำตาลกลลูโคส และน้ำลดที่ลดลงจะกระตุ้นเซลล์ประสาท(นิวรอน) บริเวณฮัยโปทาลามัส (Hypothalamus) ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมความหิว, ศูนย์อิ่มและศูนย์กระหายน้ำ

สำหรับคนที่มีร่างกายปกติ มีเจตนา(นียัต) อย่างแน่วแน่และมีความเชื่อมั่นต่อบทบัญญัติของอัลลอฮฺ (ศุบหฯ) แน่นอนจะไม่ทำให้เขาถึงขั้นมีอาการหน้ามืดหรือหมดสติไป เพราะระบบต่างๆ ในร่างกายจะช่วยประสานงานกันโดยอัตโนมัต เพื่อที่จะรักษาสมดุลหเกิดขึ้นใน ร่างกาย ในระยะแรกร่างกายจะเริ่มมีการสลายพลังงานในรูปของกลัยโคเจน ที่เก็บสะสมไว้ในตับและกล้ามเนื้อ โดยมีฮอร์โมนกลูกากอนจากตับอ่อนมาช่วยในปฏิกิริยาเคมีนี้จะได้น้ำตาลกลูโคส เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานต่อไป ส่วนต่อมหมวกไต(Adrenal Gland) ในส่วนใน(Medulla) ก็จะถูกกระตุ้นให้หลั่งเอพิเนฟริน(Epinephrine) เพิ่มมากขึ้น และมีผลทำให้เซลล์อื่นๆ ใช้พลังงานลดน้อยลงด้วย ถ้าพลังงานทีได้รับจากการสลายกลัยโคเจนไม่เพียงพอ ก็จะสลายพลังงานสำรองในรูปของไขมัน ซึ่งกรดไขมันอิสนะออกมาสู่กระแสเลือด และจะถูกเปลี่ยนไปเป็นกลูโคสเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานต่อไป ส่วนการรักษาดุลน้ำและเกลือแร่ก็เป็นหน้าที่ของ Hypothalamus เช่นกัน ที่จะกระตุ้นให้ต่อมใต้สมองได้หลั่งฮอรโมน Vesoperssine หรือ ADH จะมีผลทำให้ไตมีการดูดซึมน้ำกลับมาใช้เพิ่มมากขึ้นจึงทำให้ปัสสาวะน้อยลงและ มีสีเข้มมากกว่า ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าอัลลอฮฺ (ศุบหฯ) พระองค์ทรงรอบรู้ยิ่งเกี่ยวกับการทำงานของระบบต่างๆในร่างกายของมนุษย์และ พระองค์ก็ได้กำชับให้เราศึกษาเกี่ยวกับตัวของเราเอง ดังคำตรัสของอัลลอฮฺ (ศุบหฯ) ความว่า : "และในตัวของพวกเจ้า พวกเจ้าไม่เห็นอะไรดอกหรือ ?" (อัซ-ซารียาต 51 : 52)

3. การละศีลอด

ท่านศาสดามูฮัมหมัด ได้แนะนำวิธีการละศิลอดไว้อย่างไร ? เมื่อเวลาละศิลอด อิสลามให้เรารีบละศิลอด ก่อนที่จะดำรงการละหมาด และแนะนำให้ละศิลอดด้วยลูกอินทผลัมหรือด้วยน้ำ มีรายงานจากท่านอะนัส อิบน มาลิก (รอฏ ฯ) กล่าวว่า “ปรากฏว่าท่านนบี ละศิลอดด้วยอินทผลัมที่สุกงอมก่อนที่จะไปละหมาด ถ้าไม่มีอินทผลัมที่สุกงอมก็จะแก้ด้วยอินทผลัมที่แห้ง ถ้าหากไม่มีอินทผลัมที่แห้งก็จะกระจิบน้ำหลายกระจิบ” (บันทึกโดย อะหมัด, อะบู ดาวูด, อิบนุคุไซมะฮ และอัตตัรมีซีย์)

ในลูกอินทผลัมมีอะไร หรือ ? จากการวิจัยทางด้านโภชนาการ ทำให้เราทราบว่า ในลูกอินทผลัมที่สุกงอมนั้นประกอบด้วย น้ำตาลฟรุกโตส, น้ำ, วิตามิน และแร่ธาตุ โดยเฉพาะน้ำตาลฟรุกโตสจักเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานแก่รร่างกายชนิดหนึ่ง มีการดูดซึมบริเวณลำไส้เล็ก โดยวิธี Facilitate diffusion ซึ่งไม่ต้องใช้พลังงาน ส่วนน้ำตาลกลูโคสและกาแลกโตสนั้นจะดูดซึมแบบ Secondary Active ซึ่งต้องอาศัยทั้งตัวพา และพลังงาน ดังนั้นในสภาวะที่ร่างกายกำลังอ่อนเพลีย จากการขาดพลังงานและน้ำ ลูกอินทผลัมน่าจะเป็นผลไม้ที่ดีชนิดหนึ่ง สำหรับผู้ที่ถือศิลอด ส่วนผลไม้ชนิดอื่นๆที่มีรสหวานก็สามารถทานได้ (แต่ไม่ใช่ซุนนะฮ) ในทางตรงกันข้าม ถ้าละศิลอดด้วยน้ำเย็น หรืออาหารหนัก และอิ่มมากจรเกินไปก่อนจะไปละหมาดแทนที่เราจะได้พลังงานกลับคืนมาอย่างเร็ว เราต้องกลับเสียพลังงานไป เนื่องจากเลือดจะถูกส่งไปยังกระเพาะอาหาร และลำไส้เพิ่มมากขึ้น ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองย้อยลง (สมองต้องการนำตาลกลูโคสประมาณ 40% จากทั้งหมด) จึงทำให้มีอาการมึนงง, เวียนศรีษะ, อ่อนเพลีย, แน่นหน้าอกและง่วงซึมได้ ดังนั้นในขณะที่แก้ศิลอด ท่านนบี  ได้กล่าว คำดุอาว่า

ความว่า “ความกระหายน้ำได้สูญเสีย เส้นโลหิตได้ชุมชื่นและจะได้รับการตอบแทนอย่างแน่นอน อินซาอัลลออฺ” ( อะบูดาวูด , อัลบัยฮากีย์ และอัลฮากิม

4. จุดประสงค์ของการถือศิลอด

มนุษย์อาจจะมีฐานะที่สูงส่ง หรือต่ำต้อยกว่าสัตว์เดรัจฉาก็ได้ ขึ้นอยู่กับความศรัทธาและอิบาดะฮของเขาต่ออัลลอฮฺ (ศุบหฯ) ประกอบกับความสามารถในการใช้สติปัญญาละจิตสำนึก เพื่อเอาชนะอารมณ์ใฝ่ต่ำหรือกิเลสได้ จะต้องผ่านการฝึกอบรมเป็นการพิเศษอย่างต่อเนื่องกับปัจจัยที่มีความสำคัญ สำหรับชีวิตโดยมรเป้าหมายที่ชัดเจน เช่นการถือศิลอดรอมฏอน ทำไมเราจะต้องอดน้ำอดอาหาร ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต โดนปกติแล้ว เป็นสิ่งที่ได้อนุมัติ(ฮาลาล) สำหรับมนุษย์ รวมถึงการหลับนอนร่วมรสระหว่างสามีภรรยาในเวลากลางวันต้องกลับมาเป็นสิ่งที่ ต้องห้ามในเดือนรอมฏอน คำตอบก็คือ เพื่อพิสูจน์ความเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง เพื่อแสดงให้เห็นว่า ความรู้สึกหิวโหยหรืออารมณ์ ใฝ่ต่ำ เขาสามารถควบคุมได้ ซึ่งต่างกับสัตว์เดรฉานที่พร้อมจะสนองตอบอารมณ์อยากใคร่ของมันได้ทุกเมื่อ ดังนั้นเมื่อเดอนรอมฏอนสิ้นสุดแล้ว จะมีการเฉลิมฉลองความสำเร็จที่เรียกว่าอีฎิลฟิตรี(การกลับสู่ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง) คือการมีใจที่บริสุทธิ์ เข้มแข็ง หลุดพ้นจากการครอกงำของของฮาวานัฟสู(กามและกามารมณ์) หรือชัยฏอน(มารร้าย)นั่นเอง

ดังนั้นการดำรงชีวิตของผู้ศรัทธาทุกคน หลังจากรอมฏอนแล้ว จะเปรียบเสมือนชีวิตของคนที่ในสภาวะการถือศิลอดตลอดไป เขาจะต้องอดกลั่น ละเว้นจากการกระทำในสิ่งที่เป็นฮารอม (ทุจริต, คอรัปชั่น, คดโกง,รับสินบน,รับส่วย,กินดอกเบี้ย) เป็นต้น และต้องงหากไกลการกระทำซีนา(ผิดร่วมประเวณี) ได้อย่างง่ายดายด้วยความภาคภูมิใจ เพราะเขาได้บรรลุมรรคผลถึงขึ้น อัล มุตตากีน (ผู้ยำเกรง, ผู้สำรวม) นั้นเอง ซึ่งอัลลออฮฺ (ศุบหฯ) ได้ให้คำมั่นสัญญาว่า “แท้จริงอัลลอฮฺจะทรงรับงานของผู้ตักวาเท่านั้น” (อัลมาอีดะฮ 5 :27)

จากคำอธิบายโดยย่อๆข้างต้น พอจะสรุปได้ว่าแท้จริงการถือศิลออดนั้น ไม่ขัดต่อหลักกการแพทย์แต่อย่างใด เพราะคุณสมบัติบางประการของผู้ที่ถือศิลอดนั้น ต้องการให้ผู้ศรัทธามีสุขภาพดี และมิใช่ผู้ที่มีอุปสรรบางอย่าง(ดูรายละเอียดในวิชาฟิกฮฺ) ส่วนบุคคลที่มีอุปสรรจริงๆ จะได้รับการผ่อนผัน หรือยกเว้นจากการถือศิลอด โดยบุคคลกลุ่มหนึ่งจะต้องถือศิลอดใช้ และกลุ่มหนึ่ง ต้องจ่ายฟิดยะฮแทน นั้นก็เป็นเพราะความเมตตา และทรงรอบรู้ของอัลลลอฮฺ.(ซ.บ.) เกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมี กลไกลการทำงานของอวัยวะต่างๆในร่างกายมนุษย์นั้นเอง แน่นอนมิใช่ความประสงค์ของอัลลลอฮฺ หากว่าอิบาดะฮ์นั้นจะนำไปสู่ความสูญเสีย(ทำให้เกิดโรค) แก่บ่าวของพระองค์ มีนักวิชาการอเมริกาคนหนึ่งชื่อนายแพทย์ Allan Cott เขาได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า “Way Fast ? ” (ทำไม่ต้องถือศิลอด) ซึ่งเป็นผลจากกการวิจัยของเขาจากหลายๆประเทศ เขาได้สรุปถึงเคล็ดลับของการถือศิลอดไว้ 10 ข้อ ดังนี้.-

to feel better physically and mentally. = ทำให้รู้สึกว่ามีสุขภาพและจิตใจที่ดีขึ้น

to look and feel younger. = ทำให้มองเห็นและรู้สึกอ่อนเยาว์ขึ้น

to clean out the body. = ทำให้ร่างกายสะอาดสะอ้าน

to lower blood pressure and cholesterol levels = ช่วยลดความดันโลหิตสูง และระดับคอเลสเตอรอลในเลือด

to get more out of sex = ช่วยลดความรู้สึกอารมณ์ใคร่ (เซ็กส์)

to let the body health itself = ช่วยให้ร่างกายบำบัดตนเอง

to relieve the tension = ช่วยลดความตรึงเครียด

to sharp the sense = ช่วยให้สติปัญญาเฉียบแหลม

to again control of ourself = ทำให้สามารถควบคุมตนเองได้

to slow the aging process = ช่วยชะลอความชรา

นอกจากฮิกมะฮดังกล่าวแล้ว ท่านนบีมุฮัมหมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) ยังกล่าวไว้ มีใจความ “ แด่ผู้ถือศิลอดนั้น เขาจะได้รับความสุข 2 ประการคือ ความสุขเมื่อถึงยามละศิอด และจะมีความสุขเมื่อได้พบกับผู้อภิบาลของเขา (ในวันกียามัต) ” พร้อมกับรางวัลที่สูงสุดคือสวนสวรรค์ ซึ่งเขาจะเดินเข้าทางประตู อัร-ร็อยยาน ที่ได้สร้างเฉพาะแก่บรรดาผู้ที่ถือศิลอดด้วยความสุจริตใจต่ออัลลอฮฺ (ศุบหฯ) เท่านั้น ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น