“ไทยพุทธ-ไทยมุสลิม”
ความต่างที่เราจำเป็นต้องอยู่ร่วมกัน
ที่ผ่านมา
มุสลิมที่กลายเป็นประชากรส่วนน้อยของประเทศ และมักตั้งคำถามเพียงด้านเดียวเสมอ
นั่นก็คือ “คนไทยพุทธไม่เข้าใจในความเป็นมุสลิมอย่างเรา ?”
ในนามของคำว่า
“มุสลิม” การขบคิดลักษณะนี้ มักเป็นปัญหาตามมาเสมอ
เพราะเป็นตรรกะที่มักจะคิดเอาตัวเอง “เป็นศูนย์กลาง”
ในการโคจรแห่งความเป็นเพื่อนร่วมโลก ไม่ต่างกัน ในนามคำว่า “ไทยพุทธ”
ก็จะต้องปรับทัศนคติเพื่อหาทางออกร่วมกัน
อีกมุมหนึ่งที่มุสลิมอย่างเราต้องคิดนั่นก็คือ
“มุสลิมอย่างที่เราเป็น เข้าใจความเป็นพุทธมากน้อยแค่ไหน ?”
ด้วยเหตุนี้
มุสลิมก็ต้องศึกษาความเป็นพุทธ ที่เราต้องคลุกคลีด้วยในทุกวัน
เพราะเราใช้ชีวิตร่วมกันและ “รากเหง้าของความเป็นเรา”
มันสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น อย่างน้อยก็รากเหง้าของเรา (ทั้งไทยพุทธ-มุสลิม)
มาจากสายตระกูลเดียวกันโดยมาก นั่นก็คือ “ลัทธิฮินดู-พราหมณ์และศาสนาพุทธ”(มหายาน)
ในอาณาจักรลังกาสุกะ ก่อนจะมาเป็น “อิสลาม” ในอาณาจักรปาตานีดารุสลาม
เอาเข้าจริง
อิสลามก็เพิ่งเข้ามาในปัตตานียุคสมัยของ พญา ตู
นักปา อินทิรา มหาวังสา แล้วเปลี่ยนชื่อมาเป็น
“อิสมาอีล ชาห์ ซิลลุลลอฮฺ ฟิลอาลัม” ปี ค.ศ.1457 เพราะก่อนหน้านี้ เราไม่ได้เป็นทั้งไทยมุสลิม
และไทยพุทธอย่างที่เราเป็นกัน
เอาเป็นว่า
ไทยพุทธ-ไทยมุสลิม มันคือ พื้นที่และบทเรียนที่เราต่างแสวงหามาพอ ๆ กัน
และเราก็มีความสัมพันธ์มาเหมือนกัน เจ็บมาก็ไม่ต่างกัน ด้วยเหตุนี้
เราจึงเป็นมิตรสหายกันตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย อย่างตัดขาดกันไม่ได้อย่างแน่นอน
และมุมกลับกันของคนไทยพุทธ
“ต้องศึกษาความเป็นอิสลาม” ด้วยคำถามที่ว่า“อิสลามคืออะไร ?” แล้วเริ่มกันหาคำตอบร่วมกัน ไม่ใช่ศึกษาและเข้าใจแค่เพียงว่า
“อิสลามไม่กินหมู” อย่างเดียว
เอาเข้าจริง
บุคคลที่เราควรศึกษาวันนี้ ไม่ใช่ ยิว คริสต์ หรือ ฮินดู แต่สำหรับ คนไทย
สิ่งที่เราควรศึกษาและเข้าใจเป็นอย่างยิ่ง นั่นก็คือ “พุทธ-อิสลาม”
เพราะเราต่างก็คลุกคลีกับสิ่งเหล่านี้เป็นประจำ
ชีวิตเราอยู่ท่ามกลางความเชื่อเหล่านี้ คนจำพวกนี้
และวางรกรากในพื้นที่แห่งความไม่เหมือนเหล่านี้ดำรงอยู่ ทว่าเมื่อเราไม่เข้าใจ มันคือ
“ชะตากรรมแห่งความรุนแรง”
ไม่ต่างจาก
ผศ. ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี จากสำนักรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
วิทยาเขตปัตตานี ผู้เชี่ยวชาญปัญหาความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ สถานวิจัยความขัดแย้ง และความหลากหลายทางวัฒนธรรมภาคใต้
ได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนใต้ไว้อย่างน่าสนใจใน “9 เดือน
ของปีที่ 9
; ในสถานการณ์ความรุนแรงอันยอกย้อน
กระบวนการสันติภาพปาตานียังคงด้าวเดินไปข้างหน้า”
ปรากฏการณ์เหล่านี้ก็ได้ยืนยันถึงความต่าง
ที่เราต้องเรียนรู้กันเพราะพระเจ้าสร้างมนุษย์มาด้วยความไม่เหมือนเพียงเพราะว่า “เพื่อทดสอบมนุษย์ว่า
ในความไม่เหมือนเหล่านี้ มุสลิมที่ถืออัลกุรอ่านเป็นธรรมนูญ
ยังดำเนินตามเจตนารมณ์แห่งความเป็นอิสลาม ได้หรือไม่ เพราะในความต่าง
อิสลามก็จะไม่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สังคมแตกแยก และวุ่นวาย”
อัลกุรอ่านได้บอกอย่างชัดเจนว่า
“และหากอัลเลาะฮ์ทรงประสงค์แล้ว แน่นอนก็ทรงทำให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติเดียวกัน
แต่ทว่า เพื่อที่จะทรงทดสอบพวกเจ้าในสิ่งที่พระองค์ได้ประทานแก่พวกเจ้า” (5 ; 48)
เพราะเป้าหมายแห่งความต่าง
นั่นก็คือ การทำความเข้าใจกันและเรียนรู้ในความไม่เหมือนกัน “พระเจ้าให้เราไม่เหมือนกัน
เพียงเพื่อทดสอบว่าเรา เอาอะไรมาจัดการความไม่เหมือน อารมณ์ใฝ่ต่ำ หรือ
หลักการศาสนา”ในอัลกุรอ่านได้กล่าวเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนที่สุด
“เราได้ให้คัมภีร์ลงมาแก่พวกเจ้าด้วยความจริง
ในฐานะเป็นที่ยืนยันคัมภีร์ที่อยู่เบื้องหน้ามัน และเป็นที่ควบคุมคัมภีร์นั้น
ดังนั้นเจ้าจงตัดสินระหว่างพวกเขา ด้วยสิ่งที่อัลเลาะฮ์ทรงประทานลงมาเถิด
และจงอย่าปฏิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำของพวกเขา โดยเขาออกจากความจริงที่มายังเจ้า
สำหรับแต่ละประชาติในหมู่พวกเจ้านั้น เราได้ให้มีบทบัญญัติและแนวทางไว้” (๕ ; ๔๘)
ในมุมของอิสลาม
มักวางทุกอย่างไว้บนรากฐานแห่งอัลกุรอ่านเสมอ ด้วยคัมภีร์เหล่านั้น คือ
ความกระจ่างที่สุดในการตัดสินปัญหา และความเป็นสังคมโลกที่มีคนไม่เหมือนเรา หรือ
เราไม่เหมือนเขามักร่วมอยู่ด้วยเสมอ
“โอ้มนุษย์ทั้งหลาย
แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้าจากเพศชาย และเพศหญิง และเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็นเผ่า และตระกูลเพื่อจะได้รู้จักกัน
แท้จริงผู้ที่มีเกียรติในหมู่ของพวกเจ้า ณ ที่อัลเลาะฮ์นั้น คือ
ผู้ที่มีความยำเกรงยิ่งในหมู่พวกเจ้า แท้จริงอัลเลาะฮ์นั้นเป็นผู้รู้รอบรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน”
(49
; 13)
นี่คือส่วนหนึ่งที่เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจ
เมื่อ เราต่างประสบชะตากรรมเดียวกัน นั่นก็คือ การไดอะล็อก หรือ
การหาทางออกร่วมกันด้วยการแลกเปลี่ยนระหว่าง เพราะ “ไทยพุทธ-ไทยมุสลิม
ในความต่างที่เราจำเป็นต้องอยู่ร่วมกัน” มันคือคำถามที่หนักอึ้ง และเป็นภาระคนรุ่นใหม่อย่างเราต้องจัดการร่วมกัน
หาไม่แล้ว
สิ่งเหล่านี้ คือ “มรดกแห่งความรุนแรงและความเกลียดชังที่จะพรากเพื่อนร่วมโลกไปอย่างน่ากลัวและจะกลายเป็นของขวัญอันน่าสยองนำไปสู่คนในรุ่นใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
กระทั่ง Asghar Ali
Engineer ได้แลกเปลี่ยนใน “The Need For Inter-Religious
Dialogue” ผ่านความจำเป็นที่สำคัญของการไดอะล็อกนั่นก็เพื่อ
ประการแรก เพื่อเรียกร้องให้คนเข้ามาสนใจประเด็นแห่งความต่างเพราะการไม่ให้ความสำคัญมักจะนำไปสู่ปรากฏการณ์บางอย่างที่เกิดความรู้สึกถึง
“การไม่ใส่ใจผู้อื่นรอบข้าง”
ประการที่สอง นำไปสู่ความกระจ่างของความไม่เข้าใจในประเด็นต่าง
ๆ เพราะโดยมาก
ความไม่เหมือนที่อยู่ท่ามกลางความหลากหลายมักนำไปสู่การเข้าใจผิดเสมอ ๆ
“ขุดรื้อโคนต้นและรากเหง้า
แล้วจะเข้าใจถึงดอกและใบแห่งเรา (ไทยพุทธ-ไทยมุสลิม) เรียนรู้ผ่านกิ่งก้าน
เกสรและเมล็ดผลที่มักฉายให้ประจักษ์ถึงสายพันธุ์แห่งเรา (ไทยพุทธ-ไทยมุสลิม)
ซึมซับถึงสายเลือดที่โยงใย และเชื่อมร้อยให้เข้ากันระหว่างเรา(ไทยพุทธ-ไทยมุสลิม) กระทั่งเรา
(ไทยพุทธ-ไทยมุสลิม)
ต่างสำนึกเหมือนกันผ่านพันธุ์ไม้ต่างก็มีที่มาจากสายตระกูลเดียวกัน
แม้ดอกและใบที่ชูช่อจะเปล่งออกมาหลากสีและต่างกลิ่นก็ตาม”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น