10 วันสุดท้ายเดือนรอมฎอน กับความเชื่อของกลุ่มโจรใต้ก่อเหตุ
ในช่วง
วันที่ 23 เม.ย.-1พ.ค.2565 นี้ เป็นช่วงเวลาที่ชาวไทยมุสลิมและมุสลิมทั่วโลก กำลังถือศีลอดใน
10 วันสุดท้ายของเดือนรอมฎอน และไม่วันที่ 2 หรือ 3 พ.ค.2565 นี้
จะเป็นวันอีดิลฟิตรี(ฉลองหลังถือศีลอด)
การถือศีลอดและปฏิบัติศาสนกิจในช่วงนี้
จะมีความเข้มข้นทั้งกลางวันและกลางคืน(โดยเฉพาะกลางคืน) หลายๆ กิจกรรม หากองค์กรของรัฐ
และหน่วยความมั่นคงไม่เข้าใจ และไม่ทราบหลักปฏิบัติของชุมชนมุสลิมอาจจะนำไปสู่การจับผิด
และอาจจะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวอันนำไปสู่ความรุนแรงได้
ในขณะเดียวกันผู้ที่คิดร้าย(ส่วนน้อยของชุมชน)
อาจจะฉวยโอกาสช่วงนี้สร้างสถานการณ์ได้เช่นกัน
หลักปฏิบัติช่วงท้ายของเดือนรอมฎอน
1.การเอี๊ยะติกาฟ
(การพำนักในมัสยิด) หมายถึง การพำนักอยู่ในมัสยิด โดยมีเจตนาปฏิบัติศาสนกิจต่ออัลเลาะห์พระผู้เป็นเจ้า
กล่าวคือ การอดกลั้น ในแง่ของการกักตัวในที่ๆจำกัด ไม่สามารถออกมาจากมัสยิด
และไม่สามารถกระทำบางสิ่งบางอย่างที่สามารถทำได้ ถ้าหากอยู่นอก การอิอฺติก้าฟ
ในจำนวนนั้นคือ การหลับนอนกับภรรยา ถ้าหากการถือศีลอดไม่อนุญาตให้มีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลากลางวันเท่านั้น
แต่อิอฺติก้าฟห้ามไม่ให้มีเพศสัมพันธ์กับภรรยาตลอดช่วงเวลาสิบวัน ไม่ว่าทั้งกลางวันหรือกลางคืนดังที่อัลลอฮฺได้ตรัสไว้ความว่า
“พวกเจ้าอย่าได้แนบเนื้อพวกนาง ในขณะที่พวกเจ้าเก็บตัวอยู่ในมัสยิด” (อัล-บะเกาะเราะฮฺ
187)
เป้าหมายสำคัญก็คือ
-
เพื่อปลีกตัวออกจากภารกิจทางโลก
สู่การแสวงความผ่องแผ้วแห่งจิตวิญญาณเสริมสร้างพลังและศักยภาพ เพื่อเป็นกลไกที่จะเอื้ออำนวยให้กิจกรรมต่างๆ
ในการดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างราบรื่น และดียิ่งขึ้นในอนาคต
-
เพื่อทดสอบความอดทนทั้งกาย วาจา ใจ ตลอด
10 วัน
-
เพื่อพยายามแสวงหาคืนอัล-ก็อดร์(ค่ำคืนที่พระเจ้า ทรงพระทานผลบุญทวีคืนเทียบเท่าหนึ่งพันเดือน)
ดังที่อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ มีใจความว่า ... "(การประกอบความดีในค่ำคืน) อัล-ก็อดรฺดีกว่า
(การประกอบ ความดี) หนึ่งพันเดือน (ในค่ำคืนอื่นจากค่ำคืนอัล-ก็อดรฺ)"
(ซูเราะห์อัลกอดัร อายะห์ที่ 3)
ท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ.ล.)
ได้กล่าวไว้ว่า “และผู้ใดที่ดำรงไว้ (อิบาดะห์)
ในค่ำคืนอัล-ก็อดรฺด้วยความศรัทธาต่ออัลลอฮฺและหวังในความโปรดปรานและผลตอบแทนจากพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น
แท้จริงเขาจะได้รับการอภัยโทษจากบาปทั้งหลายที่ผ่านมา (มุตตะฟะกุนอะลัยห์ :
เศาะเฮี๊ยะห์ อัลบุคอรี 2/253 และเศาะเฮี๊ยะห์มุสลิมเลขที่ 760 (1/524))
-
เพื่อปฏิบัติตามแบบอย่างและวิถีชีวิตที่ท่าน ศาสดาเคยปฏิบัติเพราะศาสดาไม่เคยละทิ้งศาสนกิจดังกล่าว
นับตั้งแต่ท่านเริ่มเข้ามายังนครมาดีนะห์จวบจนกระทั่งท่านเสียชีวิต ท่านหญิงอะอีชะ(ร.ด.)
ภรรยาศาสดา กล่าวว่า ท่านศาสดาเมื่อเข้าสิบวันสุดท้ายจากเดือนรอมฏอน ท่านนบีฯ จะมีความจริงจังในการประกอบศาสนกิจ(ที่มัสยิด)
และนางยังกล่าวอีกว่าท่านศาสดานบีฯ เอาจริงเอาจัง(ประกอบศาสนกิจ)
ในช่วงสิบวันสุดท้ายรอมฏอนมากกว่า(การประกอบ ศาสนกิจ) ในช่วงอื่น ๆ"
1.ทบทวนพฤติกรรมตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาอย่างสงบ
เพราะมุสลิมเชื่อว่าการเอียะติกาฟสามารถ ทบทวนตน
และการสร้างจิตใจภายใต้หลังคามัสยิดอันเป็นบ้านของอัลเลาะห์
คงสามารถจะบีบคั้นน้ำตาให้รินออกมาชำระล้างความโสมมในหัวใจ และสร้างพลังแห่งศรัทธาขึ้นใหม่ได้
ในจังหวัดชายแดนใต้
จะมีหลายมัสยิดจัดกิจกรรมดังกล่าว แต่ที่มีชื่อเสียงมีอยู่ไม่เกิน 10 แห่ง
เช่น ที่มัสยิดอิบาดุรเราะมาน บ้านปูยุด อ.เมืองปัตตานี ภายใต้การอำนวยการโดย
อ.ดร.อิสมาอีลลุตฟีย์ จะปะกียา (อดีตกรรมการสมานฉันท์) และมัสยิดศูนย์ดะห์วะฮฺยะลา
เพราะมีการจัดการอย่างเป็นระบบทั้งให้ความรู้ด้านวิชาการ การปฏิบัติศาสนกิจ
และระบบสาธารณูปโภค
ทั้งสองแห่งนี้จะมีผู้มาร่วมไม่ต่ำกว่าหมื่นคน
จากทุกจังหวัดและผู้คนทุกสาขาอาชีพ แม้แต่ข้าราชการมุสลิมยอมใช้สิทธิลาพักร้อนในช่วงนี้
2.การละหมาด
ช่วง 10 วันสุดท้ายจะมีอยู่ 2 ช่วงที่สำคัญคือ
ละหมาดตะรอเวี๊ยะ
ตั้งแต่เวลาประมาณ 19.30 -20.30
น.(ความเป็นจริงการละหมาดดังกล่าวกระทำมาตั้งแต่ต้นเดือนรอมฎอน แต่จะเข้มข้นมากขึ้นในช่วง
10 วันสุดท้าย ถูกบัญญัติให้ละหมาดรวมกันเป็นญะมาอะฮฺ (รวมกันที่มัสยิด)
ละหมาดตะฮัจยุด
ตั้งแต่เวลาประมาณ 02.00น. - 04.30 น.(ช่วงกลางดึกถึงรุ่งอรุณ) ไม่ว่าจะเป็นเด็ก
ผู้ใหญ่ คนชรา จะไปละหมาดและปฏิบัติศาสนกิจในมัสยิดอีกครั้งหนึ่ง
การละหมาดทั้งสองช่วงจะมีผู้คนมากที่สุดในคืนที่ 27 ของเดือนรอมฎอน
3.การจ่ายซะกาตฟิตเราะฮฺ(ทานบังคับ)
คือ ซะกาตที่จำเป็นจะต้องจ่ายอันเนื่องจากหมดภาระถือศีลอดในเดือนรอมฎอน
ซึ่งจำเป็นแก่มุสลิมทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ชายหรือหญิง
เพียงแต่ผู้ที่จะเป็นผู้จ่ายนั้นจะต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว
และผู้อุปการะผู้อื่นโดยจ่ายเพื่อตัวเขา และเพื่อคนที่อยู่ในครอบครัวทุกคน
และคนที่ต้องรับผิดชอบด้วย
สำหรับปริมาณที่ต้องจ่าย
คนละ 1 ศออฺ
(ในภาษาอาหรับ) หรือประมาณเกือบ 4 ลิตรของอาหารหลักในท้องถิ่นนั้น ๆ เช่น
ในประเทศไทยคือข้าวสาร เป็นต้นโดยจะจ่ายให้คนยากจน
หรือให้เจ้าหน้าที่เก็บซะกาตของมัสยิดก็ได้
เพื่อจะได้แจกจ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิ์รับซะกาตต่อไป
เพราะฉะนั้นจะเห็นชาวบ้านจำนวนมาก
จะออกจากบ้านในคืนสุดท้ายหรือช่วงเช้าของวันอีด(ฮารีรายอ) ไปหาคนยากจนหรือเจ้าหน้าที่มัสยิด
4.ภารกิจมุสลิมวันอีด(ฮารีรายอ)
เมื่อสำนักจุฬาราชมนตรีประกาศกำหนดวันอีดชัดเจนแล้ว มุสลิมจะมีหลักปฏิบัติ ดังนี้
- กล่าวตักบีร
(สรรเสริญความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า) เมื่อมีการประกาศกำหนดวันอีดแล้ว
มุสลิมทั้งชายและหญิงควรกล่าวตักบีรไปเวลาละหมาดอีด
ในชุมชนมุสลิมจะเปิดเครื่องขยายเสียงดังที่มัสยิด
- อาบน้ำและทำความสะอาดร่างกาย
ควรมีการอาบน้ำชำระล้างและทำความสะอาดร่างกายก่อนสวมใส่เสื้อผ้าไปยังที่ละหมาด
พร้อมทั้งขจัดขนอวัยวะเพศ ขนรักแร้ ตัดเล็บ กลิ่นกายที่น่ารังเกียจ
และรบกวนผู้อื่น
- แต่งกายด้วยอาภรณ์ที่ดี
ที่สามารถหามาได้ พร้อมกับใช้น้ำหอม ยกเว้นบรรดาสตรี
ซึ่งไม่อนุญาตให้พวกนางใช้น้ำหอมในการไปละหมาด
- ไปยังที่ละหมาดตั้งแต่เช้า
สำหรับผู้เป็นมะมูม (ประชาชนทั่วไป) ควรรีบออกไปยังที่ละหมาดตั้งแต่เช้า
เพื่อจองที่และรอละหมาด ยกเว้นผู้เป็นอิหม่าม
(ผู้นำละหมาด)ให้ออกไปเมื่อใกล้เวลาละหมาด โดยการออกไปยังที่ละหมาดควรปฏิบัติดังนี้
ก.ควรออกไปและกลับด้วยการเดินเท้า นอกจากมีเหตุจำเป็น เช่น ไม่สบาย เป็นไข้
อยู่ไกล เช่นนี้อนุญาตให้ใช้พาหนะได้
ข.กล่าวตักบีรตลอดทาง ไปสู่ที่ละหมาด
ค.เดินเท้าไปและกลับ ควรใช้เส้นทางต่างกัน
ง.พาครอบครัวไปด้วยกัน
จ.ควรพาครอบครัว บุตร
ภรรยา ไปที่ละหมาด เพื่อร่วมละหมาดหรือฟังคุฏบะฮฺ(ธรรมเทศนา) ร่วมกัน
เช่นปีที่ผ่านมา
ที่ปัตตานีจัดละหมาดอีดที่สนามโรงเรียนเบญจมราชูทิศมีผู้เข้าร่วมเกือบหมื่นคน
-ภารกิจหลังละหมาดอีด
หลังละหมาดให้ต่างคนต่างแสดงความดีใจ และยินดีซึ่งกันและกัน
โดยให้กล่าว "ตะก๊อบ บะลัลลอฮู มินนา วะมินกุม" ซึ่งแปลว่า
"ขอให้อัลลอฮฺเจ้าจงตอบแทนความดีของเรา" และขออภัยซึ่งกันและกัน
หลังจากนั้นให้มีการบริจาคทานโดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาสตรี
สุดท้ายไปเยี่ยมญาติและเพื่อนๆ
5.ถือศีลอดอีก
6 วัน หลังจากวัน อีดิ้ลฟิตรี ซึ่งเป็นการถือศีลอดซุนนะฮฺ(ตามความสมัครใจและตามแบบฉบับศาสดา)
ตามรายงานของอะบีอัยยู๊บ(ร.ด.) (อัครสาวกศาสดาท่านหนึ่ง) แจ้งว่า ท่านร่อซูลุลลอฮฺ
กล่าวว่า "ผู้ใดถือศีลอดเดือนรอมฎอนแล้วติดตามหลังจากรอมฎอนอีก
6 วันจากเดือนเซาวัล เสมือนกับว่าเขาถือศีลอดทั้งปี"
นี่คือหลักปฏิบัติของอิสลามพอสังเขป
ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของชุมชนมุสลิมภาคใต้ ซึ่งอยากจะให้เจ้าหน้าที่ของรัฐโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับความมั่นคงเข้าใจและนำเป็นกรอบในการกำหนดนโยบายและปฏิบัติในพื้นที่
เพราะหลายๆกิจกรรมเป็นช่วงกลางคืนและดึกดื่น
ในขณะเดียวกันการเรียกร้องให้องค์กรของรัฐ
และสังคมอื่นเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา ได้อย่างสมบูรณ์นั้น
มุสลิมเองต้องมีคุณลักษณะ
และแสดงความเป็นมุสลิมที่ดีตามแนวทางศาสดาทุกอริยะบทของการดำเนินชีวิต
รวมทั้งเข้าใจ เข้าถึงและร่วมมือกับสังคมอื่นตามกรอบที่ศาสนาได้กำหนดไว้เช่นกัน
หากทุกฝ่ายยึดตามแนวทางที่ถูกต้อง และเข้าใจซึ่งกันสังคมไทยจะอยู่ร่วมอย่างสมานฉันท์และหวังว่า "เหตุการณ์ตากใบสอง" คงไม่เกิดในช่วงท้ายรอมฎอนอีกครั้งในปีนี้
สุดท้ายขอประณามเหตุการณ์ร้ายต่างๆ ที่ผู้ที่ฆ่าพระทำลายทรัพย์สินของวัด ผู้บริสุทธิในนามศาสนา เพราะเป็นการขัดคำสั่งท่านศาสดาที่ได้เน้นย้ำไว้อย่างมากคือ อย่าฆ่าสตรี เด็ก คนแก่ หรือนักบวชที่อยู่ในโบสถ์ของเขา และห้ามตัดต้นไม้
หวังว่าศาสนธรรมและสันติธรรมไม่ใช่เป็นเพียงเป้าหมายเท่านั้น
แต่เป็นวิถีทางที่สำคัญในการอยู่ร่วมอย่างสันติ
และขอดุอาอ์(พร)จากอัลเลาะห์ โปรดทรงรวมพลังของพวกเราให้อยู่บนทางนำ
และรวมหัวใจของพวกเราอยู่บนความรักฉันท์พี่น้อง
รวมทั้งขอให้ความมุ่งมั่นของพวกเราอยู่บนการงานที่ดี
ขอให้พระองค์ทรงทำให้วันนี้ของพวกเราดีกว่าเมื่อวาน
ให้พรุ่งนี้ของพวกเราดีกว่าวันนี้
แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงได้ยินและทรงอยู่ใกล้
และนำความสงบสุขสู่จังหวัดชายแดนใต้ รวมทั้งประเทศชาติทั้งมวลด้วยเทอญ
สุขสวัสดี...วันตรุษอีดดิลฟิตรี ฮิจเราะห์ศักราชที่ 1443...อามีน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น