“ศาสนา”
ปัญหาหนึ่งที่ค่อนข้างเป็นเรื่องอ่อนไหวซึ่งสามารถทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างคนในพื้นที่ได้
คือการดูถูกกันในเรื่องความเชื่อ โดยเฉพาะการที่ชาวมุสลิมเชื่อหรือศรัทธาใน “อัลเลาะห์”
(Allah)
เนื่องจากศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่เชื่อและศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า
ในขณะที่ศาสนาพุทธไม่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า
หลายคนจึงคิดว่าทั้งสองศาสนานี้ ไม่มีวันจะเข้าใจกันได้ เมื่อไม่เข้าใจกันแล้ว
ก็เลยพาลดูถูกเหยียดหยาม สิ่งที่อีกศาสนาหนึ่งนับถือและศรัทธา
ทำให้ความไม่เข้าใจกัน ยิ่งถ่างกว้างออกไปอีก
แต่ในแง่ของสังคมมิได้ห้ามจะคบค้าสมาคมระหว่างกัน ด้วยหลักการของอัล-กุรอานที่กล่าวไว้
ความว่า “ไม่มีการบังคับใดๆ (ให้นับถือ) ในศาสนาอิสลาม” (ซูเราะห์อัล-บะเกาะเราะฮฺ/256)
ผู้รู้ท่านหนึ่ง ได้กล่าวว่า…แน่นอนพระเจ้าทรงรัก ผู้ที่ศรัทธาต่อพระองค์ และทรงไม่ไม่ชอบผู้ที่ไม่ศรัทธาต่อพระองค์
แต่ไม่ใช่ว่าพระองค์ให้รังเกียจผู้ที่ไม่ศรัทธาอิสลาม ให้มุสลิมมีความรักต่อมุสลิมด้วยกัน
แต่ในขณะเดียวกันให้เมตตาคน ที่ไม่ศรัทธาต่อพระองค์ด้วย
ส่วนประเด็นการต่อสู้นั้น
เว้นแต่ผู้นั้นมารุกรานอิสลาม และมาทำร้ายมุสลิม
ซึ่งในประเทศไทยเป็นประเทศที่เปิดโอกาสให้ทุกศาสนาสามารถดำรงชีพ ได้ทุกประการไม่มีการกีดกั้นทางศาสนา
อิสลามไม่ส่งเสริมการรุกรานคนอื่น
ดังปรากฏในบทบัญญัติในเรื่องเสรีภาพในการนับถือศาสนา
ซึ่งแสดงถึงการเคารพในความแตกต่างกันในสังคมแห่งการอยู่ร่วมกัน เช่น อัล-กุรอาน มีบทบัญญัติว่า
“ไม่มีการบังคับในการนับถือศาสนา”(อัลกุรฺอาน 2:256) และ “สำหรับพวกท่านก็คือศาสนาของพวกท่าน
และสำหรับฉันก็คือศาสนาของฉัน”(อัลกุรฺอาน 109:6)
อิสลามสอนให้มุสลิมยึดมั่นในการศรัทธาของตนเอง
ในขณะเดียวกันให้เกียรติกับศาสนาอื่นด้วย ความศรัทธาของศาสนาอื่น
การศรัทธาในศาสนาเราแตกต่างกันได้
แต่การร่วมมือในการทำความดีเราต้องส่งเสริมให้ทำถึงแม้กับคนที่ไม่ไม่ใช่มุสลิมด้วยกันก็ตาม
เคยมีคนสงสัยถามว่า
ชาวมุสลิมสามารถถวายของเช่นอาหารให้พระสงฆ์ได้หรือไม่ ? ก็ต้องมาดูบริบทว่า
ณ ตอนนั้น คนมุสลิมให้ของพระสงฆ์ในฐานะอะไร? ถ้าผู้ให้มองว่าเป็นการทำบุญ
เพื่อเวลาที่ตนเองตายไปจะได้ไปอยู่บนสวรรค์ การให้ด้วยความเชื่อแบบนั้นมุสลิมย่อมทำไม่ได้
เพราะขัดกับความเชื่อในหลักเอกภาพของพระเป็นเจ้าของศาสนาอิสลาม แต่ถ้าให้ในฐานะที่เป็นเพื่อนมนุษย์
ให้อาหารท่านเพราะในชุมชนนั้นไม่มีชาวพุทธอยู่เลย แล้วพระท่านเดินผ่านมา บริบทนี้
เป็นหน้าที่ด้วยซ้ำที่ชาวมุสลิมจะต้องให้อาหารแก่ท่าน เพราะการปล่อยให้พระหิว
ไม่มีอะไรกินเลย ย่อมเป็นบาปด้วยซ้ำ อิสลามสอนว่า “นบีมูฮัมหมัด(ซ.ล.) ถูกส่งมายังโลกนี้ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากเพื่อความเมตตาของมนุษยชาติ”
ดังนั้น อิสลามไม่ได้สอนให้มุสลิมแบ่งปันความเมตตาให้กับคนในศาสนาเดียวกันเท่านั้น แต่ต้องเผื่อแผ่ถึงมนุษย์ทุกคน รวมถึงทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสรรค์สร้าง ดังนั้น เราต้องนับถือ ให้เกียรติ ช่วยเหลือกันและกันเพราะเราต่างเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะศาสนาอิสลามสอนอีกว่า “การรับใช้ผู้อื่น ถือเป็นการรับใช้พระผู้เป็นเจ้า”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น