ชูยุทธศาสตร์ดับไฟใต้
18 ปี กับทางสว่าง บนโต๊ะเจรจา หนทางสู่สันติสุข
แม้เหตุการณ์ความสงบใน
จชต.จะผ่านมาแล้ว 18 ปี แต่เหตุความรุนแรงยังคงเกิดอย่างต่อเนื่อง
ทั้งการลอบวางระเบิด สังหารเจ้าหน้าที่ ทำร้ายประชาชนคนบริสุทธิ์ เพื่อสร้างความหวาดกลัว
ขบวนการ
แนวร่วม ของผู้ก่อเหตุในภาคใต้ยังมุ่งปลูกฝังอุดมการณ์ แนวคิดแบบผิดๆให้วัยรุ่น
คนรุ่นใหม่ เพื่อเกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐ ทหาร ทำให้สถานการณ์ภาคใต้ยังคงมีอยู่
แม้ฝ่ายรัฐพยายามเพื่อให้เกิดความสงบสุข
ฝ่ายรัฐพยายามนำปัญหา
จชต.ขึ้นมาเจรจาบนโต๊ะ
โดยมีคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้กับคณะผู้แทนกลุ่มแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติ
หรือ BRN
ที่มีความคืบหน้า เพื่อมุ่งสู่สันติภาพ ความสงบสุขในพื้นที่
จนอาจจะมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ในเร็วๆ นี้
พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ยังถูกหยิบหยกเป็นปัญหาหลักในเรื่องภัยความมั่นคงระดับชาติ
ที่รัฐบาลและกองทัพยังต้องเผชิญอยู่ต่อเนื่อง
แม้ว่าสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้จะลามเข้าสู่ปีที่ 18
หลังเหตุการณ์ปล้นปืนที่ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ หรือ
"ค่ายปิเหล็ง" กองพันพัฒนาที่ 4 อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส
เพราะความรุนแรงที่ทางฝ่ายแนวร่วมผู้ก่อเหตุ
ไม่ยอมวางอาวุธ แม้ทางรัฐ กองทัพ พร้อมจะนำปัญหาเข้าสู่โต๊ะการเจรจาเพื่อให้เกิดสันติภาพ
ความสงบสุขในพื้นที่ แต่ผู้ก่อเหตุมักเข้าปลูกฝังแนวความคิดอุดมการณ์แบบผิดๆ
ให้กับเยาวชน แนวร่วมรุ่นใหม่ โดยการยัดเยียดความคิดการแบ่งแยกดินแดนเป็นหลัก
ทำให้ปัญหาเหล่านี้ยังถูกฉุดมาเป็นประเด็นต่อเนื่อง
นอกจากนี้
รัฐบาลยังได้ส่ง หัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดย พล.อ.วัลลภ
รักเสนาะ พร้อมด้วยฝ่ายทหาร พล.ท.เกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4 นายฉัตรชัย
บางชวด รองเลขาธิการ สมช.
เป็นตัวแทนเปิดโต๊ะเจรจาหารือกับคณะผู้แทนกลุ่มแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติ หรือ BRN ที่ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อ11-12 ม.ค. 65 ที่ผ่านมา
กระทั่งกลับมาฝั่งไทย
คณะเปิดโรงแรมหรูภูเก็ต เพื่อสานต่อกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขผ่านทั้งออนไลน์
รวมถึงการติดต่อสื่อสารผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อให้การพูดคุยมีความคืบหน้า ต่อเนื่อง
จนนำไปสู่การผลักดันให้เกิดการประชุมแบบ Face to Face โดยหัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้
และคณะผู้แทน BRN นำโดย อุสตาส อานัส อับดุลเราะห์มาน และ
นายตันซรี อับดุล ราฮิม บิน โมฮัมหมัด นอร์ ผู้อำนวยความสสะดวกการพูดคุย
และมีผู้เชี่ยวชาญร่วมสังเกตการณ์อีก 2 คน ทำให้ทั้ง 2 ฝ่าย มีท่าที
มีมิตรไมตรีต่อกัน
จนนำไปสู่การสรุปใน
3 ประเด็นหลัก ประเด็นแรก คือ ทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยหารือ
และเห็นพ้องกันในเรื่องหลักการทั่วไป ในกรอบ สารัตถะ 3 เรื่อง คือ การลดความรุนแรง
การปรึกษาหารือของประชาชนในพื้นที่ และการแสวงหาทางออกทางการเมือง ซึ่งทั้ง 3
เรื่องเป็นไปตามเจตนารมณ์ และความต้องการของพี่น้องประชาชนในพื้นที่
และครอบคลุมทุกปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นั่นคือ
การอยากเห็นความสงบสุขในพื้นที่ การใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข
และการเข้ามามีส่วนร่วมของภาคประชาชน รวมทั้งอยากเห็นรัฐบาลแก้ไขปัญหาที่รากเหง้า
อันจะนำไปสู่การสร้างสันติสุขอย่างถาวร ยั่งยืนต่อไป
ประเด็นที่
2 การจัดตั้งกลไก เพื่อมาขับเคลื่อนประเด็นสารัตถะของการพูดคุย
โดยมีการพิจารณาที่จะจัดตั้ง ผู้ประสานงาน Joint working group ขึ้นมาในแต่ละประเด็น
โดยเฉพาะ ประเด็น การลดความรุนแรงและการเข้ามาปรึกษาหารือในพื้นที่
ส่วนประเด็นการแสวงหาทางออกทางการเมือง
ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความซับซ้อนและละเอียดค่อนข้างมาก ก็จะใช้ลักษณะการจัดตั้ง Joint
study group เข้ามาเพื่อศึกษาในรายละเอียดหาแนวทางที่เหมาะสม
ทั้งนี้
การจัดตั้งดังกล่าวจะมีลักษณะเป็นแบบกึ่งทางการ ที่สามารถพบปะหารือติดต่อพูดคุย
กันได้โดยตรง เพื่อกำจัดจุดอ่อนในช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิด-19 ระบาด
ที่ทำการประชุมอย่างเป็นทางการทำได้ค่อนข้างยาก
การจัดตั้งลักษณะนี้ก็จะช่วยผลักดันให้ประเด็นสารัตถะต่างๆ
คืบหน้าไปได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น
ประเด็นที่
3 ซึ่งเป็นประเด็นที่คณะพูดคุยสันติสุขฝ่ายไทยได้หยิบยกขึ้นมา คือ การลดความรุนแรงลง
ของทั้ง 2 ฝ่าย โดยความสมัครใจ
เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เกื้อกูลต่อการพูดคุยในครั้งต่อไป
รวมทั้งต้องการให้ประชาชนในพื้นที่ได้ตระหนักถึงประโยชน์ของการพูดคุยที่จะก่อให้เกิดความสงบสุขขึ้นในพื้นที่
โดยในเรื่องนี้
พล.อ.วัลลภ เห็นว่า การขับเคลื่อนผลักดันให้กระบวนการพูดคุยเป็นหนทางที่สามารถสร้างสันติสุขในพื้นที่
ได้อย่างยั่งยืน พร้อมคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
ทั้งฝ่ายผู้เห็นต่างทุกกลุ่ม ไม่เฉพาะแต่กลุ่ม ขบวนการ BRN รวมถึงภาคประชาชน เพื่อมาแสวงหาทางออกร่มกันต่อไป โดยตลอดในห้วง 2
ปีที่มีการพูดคุยกับกลุ่ม BRN จากช่วงแรกที่มีความไม่วางวางใจกัน
จนถึงขณะนี้เริ่มมีความเชื่อมั่นกันพอสมควร ผลจากการพูดคุยครั้งนี้
ถือว่ามีความก้าวหน้าที่ดีมาก นำมาสู่การกำหนดหัวข้อประเด็นสารัตถะกันได้
ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้กระบวนการพูดคุยดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น
"1
ปีจากนี้ คาดว่าจะมองเห็นความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะ
การลดความรุนแรง และการเข้ามาปรึกษาหารือในพื้นที่หลังจากนี้
คณะพูดคุยจะต้องเร่งสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ให้รับทราบ คาดว่าภายใน
2 ปี นี้จะเห็นความคืบหน้าในการพูดคุยเรื่องการแสวงหาทางออกทางการเมืองได้ต่อไป"
พล.อ.วัลลภ ย้ำความมั่นใจ
ด้าน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม
หลังได้รับรายงานผลเจรจาถึงกับแสดงท่าทีออกมาว่า
พอใจผลการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนใต้
จากนี้ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะยึดถือ 3 ประเด็น เป็นแนวทางในการพูดคุยระยะต่อไป
คือ 1.การลดความรุนแรง 2.การปรึกษาหารือกับประชาชนในพื้นที่ และ
3.การแสวงหาทางออกทางการเมือง โดยจะมีกลไกการทำงานร่วมกัน ประกอบด้วย
การมีบุคคลผู้ประสานงาน และคณะทำงานร่วมของทั้งสองฝ่ายในแต่ละเรื่อง
ทั้งนี้เพื่อผลักดันให้การพูดคุยเป็นไปอย่างต่อเนื่อง คล่องตัว
และเกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม
"ถือว่าทุกภาคส่วนที่ช่วยขับเคลื่อนให้เกิดการพูดคุยในครั้งนี้
แม้สถานการณ์โควิด-19 จะเป็นข้อจำกัดในการเดินทางข้ามพรมแดน
แต่ทั้งสองฝ่ายได้พยายามติดต่อสื่อสาร สานต่อกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุข
จนสามารถผลักดันให้เกิดการพบปะพูดคุยได้จริง
รัฐบาลปรารถนาที่จะสร้างบรรยากาศการพูดคุยที่ดี เพื่อนำไปสู่การลดความรุนแรง
การใช้ชีวิตที่เป็นปกติสุขตามความคาดหวังของประชาชน
อันจะเป็นการแสดงถึงความคืบหน้าและประโยชน์ที่เกิดจากกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้"
ขณะที่ภาพรวม
"กองทัพภาคที่ 4"
ยังพร้อมที่จะสร้างความมั่นคงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเร่งแก้ปัญหาต่างๆ
ให้เกิดความราบรื่น และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
โดยเน้นย้ำการปฏิบัติงานการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน
โดยประชาชนทุกคนจะต้องได้รับความยุติธรรมจากการดำเนินงานของรัฐ
และเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัย
ปราศจากเงื่อนไขที่เอื้อต่อการใช้ความรุนแรงจากทุกฝ่ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ด้วยการบังคับใช้กฎหมาย ตามหลักสิทธิมนุษยชน
และบทบาทจากนี้ไป
สันติสุขกำลังจะเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยหน่วยงานความมั่นคง
ฝ่ายทหาร และกองทัพภาคที่ 4
จะขับเคลื่อนทุกกระบวนการพูดคุยเพื่อทำให้เกิดสันติสุขในพื้นที่อย่างแท้จริง
เพื่อประชาชน คนพื้นที่ ได้อยู่อย่างสงบสุข
กลับมาเป็นประเทศไทยผืนแผ่นดินเดียวกันที่มีแต่ความร่มเย็น
ผู้เขียน :
ยุทธจักรเขียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น