วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2568

พรบ.ชาติพันธุ์ แฝงนัยยะทำประเทศแตกแยก

พรบ.ชาติพันธุ์ แฝงนัยยะทำประเทศแตกแยก

สอดใส้แนวคิด RSD (Right to Self-determination) นำไปสู่การแบ่งแยกดินแดน รัฐปกครองตนเอง

RSD (Right to Self-determination) อาจไม่เป็นที่รู้จักกันมากนักในประเทศไทย แต่สำหรับพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ต่างทราบกันดีว่า RSD ถูกขบวนการก่อการร้าย และแนวร่วมขบวนการนำมาใช้ต่อสู้สู่แนวคิดการแบ่งแยกดินแดน แต่กลับไม่ได้รับการยอมรับจากคนในพื้นที่ เป็นเพียงความคิดเพ้อฝันของกลุ่มขบวนการเองที่ใช้เป็นข้ออ้างในการก่อเหตุต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์

แต่ล่าสุดถูก ส.ส. ที่คนในพื้นที่มองว่าให้การสนับสนุนกลุ่มขบวนการก่อการร้ายนำเข้าไปพูดในสภา อีกทั้งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังสร้างความแตกแยกไปทั่วประเทศ โดยใช้วาทกรรมสวยหรูอ้างกลุ่มชาติพันธุ์ ผลักดัน พรบ.ชาติพันธุ์ ที่มีนัยยะแอบแฝง สอดใส้แนวคิด RSD โดยใช้กลุ่มชาติพันทางภาคเหนือของไทยบังหน้า แต่จุดประสงค์คือนำไปใช้สนับสนุนแนวคิดแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ของประเทศไทย

อีกหนึ่งข้อสังเกตุกลุ่มที่สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนจะพยายามสร้างวาทกรรม ใช้คำว่า ป_ตานี เพื่อพยายามสร้างตัวตนเพื่อเป็นการไม่ยอมรับความเป็นไทย ซึ่งคำว่าป_ตานี นักวิชาการทางประวัติศาสตร์ทั้งไทยและมาเลเซียได้ให้การยืนยันตรงกันว่าไม่เคยมีมาก่อน เป็นคำที่พึ่งเกิดขึ้นในภายหลัง ที่ถูกเริ่มนำมาใช้โดยกลุ่มขบวนการกลุ่มผู้ก่อการร้าย BRN และกลุ่มแนวร่วม

สิทธิในการกำหนดชะตากรรมของตนเอง หรือ RSD (Right to Self-determination) สิทธิดังกล่าวเคยถูกบรรจุไว้ในสหประชาชาติ ครั้งแรกคือมติที่ 1514 (XV) ลงวันที่ 14 ธ.ค. ค.ศ.1960 เรื่อง “การให้เอกราชแก่ดินแดนอาณานิคม” (Declaration on the Granting of Independence to Colonial Countries and Peoples) และปัจจุบันถูกกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ นำมาใช้ในการขับเคลื่อน บิดเบือนข้อมูล ใช้เป็นแนวทางการต่อสู้เพื่อเอกราช ทั้งๆที่ความต้องการที่จะแบ่งแยกดินแดนนั้นเป็นเพียงความคิดของกลุ่มคนเพียงไม่กี่คน ไม่ใช่เป็นความต้องการที่แท้จริงของคนในพื้นที่ และความจริงแล้วนั้นคนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ต่างใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขไม่ว่าจะเป็นพี่น้องไทยพุทธไทยมุสลิมก็ตาม

ต่างมีความเป็นอยู่ มีสิทธิต่างๆไม่ได้ต่างไปจากคนพื้นที่อื่นๆในประเทศไทย และไม่มีความคิด ความต้องการ ที่จะแบ่งแยกดินแดนหรือต้องการเอกราชใดๆ เลย แม้แต่น้อย

วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2568

ความเจ้าเล่ห์สองหน้าของ เขมร ฮุน เซน กับกลุ่ม BRN ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้

ความเจ้าเล่ห์สองหน้าของ เขมร ฮุน เซน กับกลุ่ม BRN ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้

ในโลกที่เต็มไปด้วยการหลอกลวงและการบิดเบือนความจริง เรามักพบว่าผู้นำเผด็จการและกลุ่มก่อการร้ายต่างมีลักษณะนิสัยบางประการที่คล้ายคลึงกันอย่างน่าประหลาด ไม่ว่าจะเป็นความเจ้าเล่ห์ หลอกลวง ใช้เล่ห์กลเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว โดยไม่สนใจความสูญเสียของผู้บริสุทธิ์ — นี่คือจุดร่วมที่ชัดเจนระหว่าง สมเด็จฮุน เซน อดีตผู้นำเผด็จการแห่งกัมพูชา กับกลุ่มก่อการร้าย BRN ที่ก่อเหตุในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย

ฮุน เซน : สัญลักษณ์ของอำนาจนิยมและความเจ้าเล่ห์

ฮุน เซน เป็นผู้นำที่ครองอำนาจยาวนานที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยวิธีการบิดเบือนหลักประชาธิปไตย ปราบปรามฝ่ายตรงข้าม และแต่งตั้งเครือญาติขึ้นสู่อำนาจ ไม่ต่างจากการสืบราชบัลลังก์ทางการเมือง หลังจากรัฐประหารนองเลือด เขาใช้เล่ห์เหลี่ยมกดดันให้ สมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ ต้องออกนอกประเทศ และบีบให้กัมพูชากลายเป็นสมบัติเฉพาะกลุ่มของตน ภายใต้หน้ากากของ "เสถียรภาพ" แต่เต็มไปด้วยการกดขี่ การควบคุมสื่อ และการใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ

BRN : จอมหลอกลวงในนามศาสนา

ในทำนองเดียวกัน กลุ่มก่อการร้าย BRN ที่อ้างตนว่าเป็นนักต่อสู้เพื่อเสรีภาพ กลับเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน และขาดความเมตตา พวกเขาใช้ศาสนาเป็นข้ออ้างเพื่อก่อความรุนแรง สังหารพระภิกษุ เณร ผู้นำศาสนาอิสลาม หญิงชรา เด็กเล็ก และประชาชนผู้บริสุทธิ์ เพียงเพื่อสร้างความหวาดกลัวและหวังผลทางการเมือง กล่าวอ้างว่าเป็น ญีฮาด ทั้งที่ความจริงนั้นไม่มีหลักศาสนาใดให้การรับรอง โดยเฉพาะ กลุ่มอูลามะโลก, OIC และ จุฬาราชมนตรีแห่งประเทศไทย ล้วนยืนยันแล้วว่า พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ไม่ใช่ดารุลฮัรบี” เพราะประเทศไทยเปิดโอกาสให้ทุกศาสนาอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ มีเสรีภาพในการนับถือศาสนา และรัฐยังให้การสนับสนุนกิจกรรมทางศาสนาอย่างเต็มที่

หน้ากากแห่ง "สันติภาพ" ที่เต็มไปด้วยการหลอกลวง

ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาทางการเมืองกับฮุน เซน หรือการพูดคุยเพื่อสันติภาพกับกลุ่ม BRN ล้วนเป็นเพียง "กลยุทธ์ชั่วคราว" เพื่อบิดเบือนความจริง ทั้งสองฝ่ายต่างมีพฤติกรรมซ้ำซาก คือ แสร้งทำเป็นร่วมมือเพื่อสันติ ขณะเดียวกันก็ใช้เบื้องหลังในการวางแผนทำลาย และผลักดันเป้าหมายส่วนตัว กลุ่ม BRN ยืมศาสนาเป็นฉากหน้า ใช้ชาวบ้านเป็นโล่มนุษย์ ซ่อนตัวตามมัสยิดหรือในชุมชน แล้วกล่าวหาว่ารัฐกระทำเกินกว่าเหตุ เช่นเดียวกับฮุน เซน ที่ใช้คำว่าความมั่นคงและความสงบสุขมาหลอกลวงประชาคมโลก แต่กลับปิดปากประชาชนภายในประเทศด้วยกำลังและการคุกคาม

สรุป : ความจริงใจไม่มีในพจนานุกรมของคนเหล่านี้

ในขณะที่ประชาชนต้องการสันติสุขและการอยู่ร่วมกันอย่างสงบ แต่คนเจ้าเล่ห์อย่างฮุน เซน และกลุ่มก่อการร้าย BRN กลับเดินเกมด้วยความเห็นแก่ตัว เอาประชาชนเป็นเหยื่อ ใช้ศาสนาและวาทกรรมความยุติธรรมบังหน้า ความจริงใจที่แท้จริงนั้นไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของคนเหล่านี้

จอมลวงโลก...ก็คือจอมลวงโลก

การเจรจากับพวกนี้มีแต่จะตกเป็นเหยื่อของกลอุบาย

และคนที่ต้องเจ็บปวดที่สุด...ก็คือประชาชนผู้บริสุทธิ์

****************

ความรุนแรงปะทุรอบใหม่ สะท้อนทางตันของกระบวนการสันติภาพ

ความรุนแรงปะทุรอบใหม่ สะท้อนทางตันของกระบวนการสันติภาพ

ตลอดเดือนเมษายน 2568 ที่ผ่านมา พื้นที่ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้/ปาตานี และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา กลับเข้าสู่วงจร ความรุนแรง ที่ปะทุอย่างต่อเนื่องอีกครั้ง — จากเหตุการณ์ ลอบยิงอุสตาซในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส, การวางระเบิดในเขตชุมชน รวมไปถึง เหตุการณ์สะเทือนใจยิงสามเณรขณะออกบิณฑบาต ในอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา

จนนำไปสู่เสียงประณามกว้างขวางจากสังคมไทยทั้งพุทธและมุสลิม

กระแสสังคมในห้วงนี้ ไม่เพียงแต่เรียกร้องให้หยุดยั้งการใช้ความรุนแรงต่อพลเรือนและกลุ่มเปราะบางเท่านั้น แต่ยังได้เห็น ชาวพุทธในพื้นที่ รวมถึงเครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ (B4P) ออกมาแสดงจุดยืน เรียกร้องให้รัฐไทยตั้งโต๊ะเจรจาสันติสุขโดยเร็ว สะท้อนความอึดอัดใจของชุมชนที่ต้องตกอยู่ในความหวาดกลัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่เห็นหนทางคลี่คลายจากภาครัฐ

ความเงียบของโต๊ะเจรจา และสัญญาณจากสนามปฏิบัติการ

นับตั้งแต่การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลสู่ยุคของ นายเศรษฐา ทวีสิน และต่อเนื่องมายัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร การจัดตั้งคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขยังคงไม่มีความชัดเจน แม้มีเสียงย้ำจากรองนายกฯ และ รมว.กลาโหมอย่าง นายภูมิธรรม เวชยชัย ว่ามีความตั้งใจจะเดินหน้ากระบวนการพูดคุย

แต่ในขณะที่ฝั่งรัฐบาลยังไม่เร่งรัดฟื้นการเจรจาให้เห็นเป็นรูปธรรม กลับมี สัญญาณตอบโต้ด้วยอาวุธ จากกลุ่มฝ่ายตรงข้ามในพื้นที่ ที่พยายาม “ส่งเสียง” ว่าการไม่มีโต๊ะเจรจานั้นเป็นเงื่อนไขที่นำไปสู่ความรุนแรงซ้ำซ้อน — ข้อมูลจากหลายเหตุการณ์ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มเป้าหมายของการก่อเหตุรุนแรงครั้งนี้ไม่ใช่เฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐ หากแต่เล็งไปยัง กลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้นำศาสนา พระ และสามเณร ซึ่งเป็นภาพที่บีบหัวใจสังคมยิ่งนัก

สันติภาพจะไปทางไหน หากการเมืองยังนิ่งเฉย?

สถานการณ์ในปาตานีเวลานี้สะท้อนให้เห็นปัญหาใหญ่ 3 ประการ:

 1. โต๊ะเจรจาที่ว่างเปล่า: แม้จะมีฝ่ายอำนวยความสะดวกอย่างมาเลเซีย แต่หากรัฐบาลไทยไม่มีตัวแทนที่ได้รับมอบอำนาจอย่างเป็นทางการ กระบวนการพูดคุยก็ไม่อาจเดินหน้าได้จริง

 2. ความไม่ไว้วางใจที่ลึกซึ้ง: ความไม่เชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรมของรัฐและการใช้กฎหมายพิเศษ ทำให้ประชาชนจำนวนมากในพื้นที่ยังรู้สึกว่า “เสียงของพวกเขาไม่ถูกได้ยิน” และ “ชีวิตของพวกเขาไม่มีความหมายในสายตารัฐ

 3. ความรุนแรงตอบโต้ที่สุ่มเสี่ยงบานปลาย: เหตุยิงสามเณร ไม่เพียงทำลายชีวิตและจิตใจ แต่ยังปลุกปั่นอารมณ์ความโกรธเกลียดระหว่างชุมชนพุทธ-มุสลิม หากไม่มีการฟื้นเจรจา และปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปเช่นนี้ต่อไป โอกาสปะทุของความขัดแย้งระหว่างประชาชนเองมีความเป็นไปได้สูงขึ้น

เสียงของชาวพุทธในปัตตานี: จุดเปลี่ยนที่รัฐต้องรับฟัง

สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งในสถานการณ์รอบนี้ คือ การที่ชาวพุทธในพื้นที่ลุกขึ้นออกมาเรียกร้องให้รัฐเร่งตั้งโต๊ะเจรจา แทนที่จะสนับสนุนการปราบปรามด้วยกำลังเพียงอย่างเดียว นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนว่าความรุนแรงไม่ใช่คำตอบ และแม้แต่ประชาชนที่อยู่ในสถานะ “ชนกลุ่มน้อย” อย่างชาวพุทธในปัตตานีเอง ก็ยังเลือกที่จะ หนุนกระบวนการสันติภาพมากกว่าทางทหาร

บทสรุป: สันติสุขต้องเริ่มที่ความกล้าคุยกันจริง

คำถามใหญ่ในเวลานี้คือรัฐบาลชุดนี้กล้าพอหรือไม่ ที่จะเดินหน้าฟื้นการพูดคุยอย่างจริงใจ?ไม่ใช่เพียงการตั้งคณะกรรมการเพื่อแก้หน้า หากแต่ต้องพร้อมที่จะฟังเสียงประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง

เพราะหากไม่มีโต๊ะเจรจา และหากการเมืองยังคงเลือก “นิ่งเฉย” ในขณะที่ปืนยังลั่นอย่างต่อเนื่อง — ก็ยากจะคาดหวังได้ว่า “สันติภาพ” จะเดินทางไปถึงที่หมายในเร็ววัน.

รู้จัก โยร์-ดะวะห์ ภารกิจแห่งศรัทธาของผู้เผยแผ่อิสลาม

ดะวะห์คืออะไร ดะวะห์ตับลีฆ ภารกิจแห่งศรัทธาอิสลาม

คนจำนวนไม่น้อยสงสัยว่า กิจกรรมชุมนุมทางศาสนา หรือชุมนุมของผู้เผยแผ่ศาสนาที่กำลังเป็นข่าวอยู่นี้ พวกเขาไปทำอะไรกัน และเหตุใดจึงต้องไปรวมตัวกันจำนวนมากๆ ด้วย

ดะวะห์คืออะไร ดะวะห์ตับลีฆ ภารกิจแห่งศรัทธาอิสลาม

รู้จัก "โยร์-ดะวะห์" ภารกิจแห่งศรัทธาของผู้เผยแผ่อิสลาม

ในยุคที่ผู้คนกำลังมัวเมาในโลกีย์ ความโลภอยากได้ทุกสิ่ง และความหยิ่งทะนง หลายคนคงเคยได้ยินข่าวคนไทยที่นับถือศาสนาอิสลามไปชุมนุมทางศาสนาในต่างประเทศ คนจำนวนไม่น้อยสงสัยว่า กิจกรรมชุมนุมทางศาสนา หรือชุมนุมของผู้เผยแผ่ศาสนาที่กำลังเป็นข่าวอยู่นี้ พวกเขาไปทำอะไรกัน และเหตุใดจึงต้องไปรวมตัวกันจำนวนมากๆ ด้วย

ก่อนจะไปถึงการ "ชุมนุมทางศาสนา" ต้องรู้จักการ "ดะวะห์" ก่อน...

ดะวะห์คืออะไร "ดะวะห์" คำๆ นี้หมายถึง การเผยแผ่ศาสนา การออกชักชวนให้มุสลิมช่วยกันทำความดี หักห้ามการทำชั่ว

คนที่ออกเผยแผ่ศาสนา และเดินทางไปชักชวนให้คนอื่นๆ ทำความดี ในทางอิสลามเรียกว่า "ดะวะห์" ถ้าไปกันหลายๆ คนก็เรียก "กลุ่มดะวะห์"

เรื่องนี้ไม่ใช่ภาคบังคับตามหลักศาสนา ใครจะทำก็ได้ เมื่อทำแล้วก็จะได้บุญ คนจำนวนหนึ่งเลือกทำในวัยเกษียณ อย่างเช่น คุณลุงชาวสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส ที่ไปเสียชีวิตบนรถไฟ เมื่อเกษียณจากงานนายช่างวิศวกร ก็ออกเดินทางไปดะวะห์

คนมุสลิมจะมีความเชื่อและศรัทธาแบบนี้ แต่กลุ่มคนที่ยังเป็นวัยรุ่นหรือวัยทำงานที่ไปดะวะห์ก็มีเหมือนกัน

นิแอ สามะอาลี หนึ่งในสมาชิกดะวะห์ เล่าว่า จริงๆ แล้วแค่หนึ่งคำพูดความดีออกมา ก็ถือเป็นการดะวะห์แล้ว ฉะนั้นจึงมีคำกล่าวในเชิงหลักการที่ว่า การดะวะห์ต้องเริ่มจากการเชิญชวนตัวเองไปสู่ความดีก่อน ซึ่งคำว่าตัวเอง หรือตนเอง ก็คือ "ตับลีฆ" เหตุนี้จึงเป็นที่มาของ "ดะวะห์ตับลีฆ"

"การเรียนรู้ของตัวเราเอง และการสั่งสมความรู้เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ และชักชวนคนอื่น ต้องมีระดับชั้น กลุ่มดะวะห์ตับลีฆก็เช่นกัน ต้องมีระดับขั้นเพื่อเพิ่มการปลูกฝังความศัทธาและความแรงกล้าในการปฏิบัติกิจกรรมเผยแผ่ศาสนา" นิแอ กลาว

การทำดะวะห์ โดยมากมักจะทำเป็นกลุ่ม ราวๆ 7-12 คน และใช้มัสยิดเป็นศูนย์กลาง โดย "กลุ่มดะวะห์" จะเดินทางไปในพื้นที่ต่างๆ แล้วใช้มัสยิดเป็นศูนย์รวมในการวางแผนลงพื้นที่เพื่อพบปะผู้คน โดยมัสยิดที่เป็นศูนย์กลางแบบนี้ จะเรียกว่า "มัรกัส" (ศูนย์ดะวะห์) โดยศูนย์กลางมัรกัสใหญ่ที่สุดในเมืองไทยอยู่ที่ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา

อย่างที่บอก ดะวะห์ตับลีฆจะเริ่มจากตัวเองก่อน ก็จะใช้มัสยิดในชุมชนเป็นศูนย์กลาง ช่วงแรกอาจจะมีสาวกดะวะห์ 1-2 คน จากนั้นก็ค่อยๆ หาสมาชิ กจนได้เป็นกลุ่มดะวะห์ตับลีฆประจำมัสยิด โดยมีตารางปฏิบัติแต่ละวันคือ ประชุมทุกเย็นเรื่องดะวะห์, แบ่งเวลาวันละ 2 ชั่วโมงครึ่งเพื่อไปพบปะผู้คนในหมู่บ้าน, บรรยายในมัสยิดสัปดาห์ละหครั้ง หรือที่เรียกว่าโยร์ในหมู่บ้าน และทำประชาสัมพันธ์เพื่อหาประชาชนออกดะวะห์ 3 วัน

"จากศูนย์กลางมัสยิดในชุมนุม ก็ขยายมาเป็นมัรกัส หรือศูนย์ดะวะห์ กิจกรรมก็จะมีการประชุมประเมินจำนวนคนดะวะห์ว่าเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน ประชุมพิจารณาส่งกลุ่มดะวะห์ออกไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งสร้างงานดะวะห์ในแต่ละมัสยิดในชุมชน" นิแอ อธิบาย

จะเห็นว่าการดะวะห์ไม่ได้มีแค่ในประเทศ แต่ยังเดินทางไปต่างประเทศด้วย ฉะนั้นจึงมีกำหนดเวลาสำหรับการทำดะวะห์ ถ้าไปใกล้ๆ ในชุมชนของจังหวัดเดียวกัน หรือจังหวัดใกล้เคียง ก็ใช้เวลา 3 วัน ถ้าไปไกลหน่อย อาจจะข้ามประเทศ ก็ใช้เวลา 40 วัน และนานที่สุดคือ 4 เดือน

"การออกดะวะห์ 3 วัน สำหรับประชาชนฝึกหัด โดยให้ออกประจำทุกเดือน พอเข้าใจในดะวะห์ ก็เชิญชวนให้ออก 40 วัน ก็จะทำให้เข้าใจในงานดะวะห์มากขึ้น และขั้นสูงสุดเพื่อเป็นการดะวะห์ประชาชาติ นั่นก็คือออกดะวะห์ 4 เดือน ได้ทั้งในประเทศหรือต่างประเทศ" นิแอ บอก

ส่วนการไปดะวะห์ ที่มีข่าวไปรวมตัวกันที่อินเดีย ปากีสถาน และบังคลาเทศนั้น เรื่องนี้มีที่มาเชิงประวัติศาสตร์...

"สำหรับคนทำงานดะวะห์เพื่อประชาชาติ ต้นแบบอยู่ที่มัรกัสนิซามุดิน ประเทศอินเดีย มี เมาลานา ซาการียา อัลดะลาวี ชาวอินเดียเชื้อสายสาวกนบีมูฮำหมัด เป็นผู้ริเริ่มสร้างงานดะวะห์ตับลีฆ โดยเริ่มต้นจากตัวเอง และไปเชิญชวนคนขับรถรับจ้างมาออกดะวะห์ ทำมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันเกือบจะ 100 ปีแล้ว

และขยายไปยังมัรกัสไรวิน ประเทศปากีสถาน และมัรกัสบังกลาเทศ ทำให้ชาวดะวะห์ตั้งกฎว่าหากไม่ผ่าน 3 ประเทศนี้ จะไปประเทศแถวยุโรปไม่ได้ หรือที่เรียกว่าต้องผ่าน IPB เสียก่อน ซึ่งก็คืออินเดีย ปากีสถาน และบังคลาเทศ นั่นเอง" นิแอ เล่า

แน่นอนว่า การเดินทางไปดะวะห์ในพื้นที่ต่างๆ ไม่ได้มีเฉพาะมุสลิมที่ไปจากประเทศไทยเท่านั้น แต่มีจากประเทศมุสลิมทั่วโลก ฉะนั้นจึงมีกิจกรรม "ชุมนุมของผู้เผยแผ่ศาสนา" เรียกว่า "โยร์" ซึ่งก็คือการไปรวมตัวกันของกลุ่มดะวะห์จากประเทศต่างๆ นั่นเอง กิจกรรมนี้เกิดขึ้นในหลายประเทศ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย ปากีสถาน บังคลาเทศ และอินเดีย งแต่ละที่ก็มีพี่น้องมุสลิมจากประเทศไทยไปร่วม

ทุกๆ ปีที่ประเทศอินเดีย ปากีสถาน และบังคลาเทศ จะมีการจัดโยร์ หมุนเวียนว่าประเทศไหนจะจัดได้บ้าง ขึ้นอยู่กับการประชุมที่มัรกัสนิซามุดิน ประเทศอินเดีย ว่าจะอนุมัติหรือไม่ เป้าหมายหลักของการจัดโยร์ หรือชุมนุม ก็เพื่อต้องการให้ประชาชนออกดะวะห์เป็นจำนวนมากๆ

สุดท้ายการออกดะวะห์ ไม่ว่าจะ 3 วัน 40 วัน และ 4 เดือน เป้าหมาย คือเพื่อให้ประชาชาติกลับหาสู่พระเจ้า เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ และปฏิบัติตามบัญชาทุกประการของพระองค์ ขณะที่ในแง่ปัจเจก คนที่ไปทำดะวะห์ก็จะกลับมาสู่มัสยิดในชุมชนแต่ละพื้นที่ในบ้านของเรา เพื่อชักชวนให้ทุกคนร่วมทำความดี นิแอ สรุป

วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2568

สิทธิมุสลิมะฮ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่น่าเป็นห่วง

สิทธิมุสลิมะฮ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่น่าเป็นห่วง

ตลอดระยะเวลากระแสความรุนแรงแห่งไฟใต้ นับวันยิ่งทบทวีคูณ แนวคิดแห่งการต่อต้านความเป็นไทยของความเป็นมลายูถูกบ่มเพาะจากรุ่นสู่รุ่น ต้นกล้าแห่งความเกลียดชังวันวาน วันนี้เริ่มเติบใหญ่ และนับวันยิ่งเห็นเป็นผืนป่าแห่งอิทธิพลแห่งความต้องการแบ่งแยกดินแดนมากขึ้นทุกที

ด้วยอุดมการณ์ที่แรงกล้า สุดโต่งและยิ่งใหญ่ ที่ผู้เฒ่าเก่าก่อนบอกว่ามันถูกต้องและต้องพิชิต ที่เรียกว่า “ญีฮาด”ทั้งที่หลายสิ่งหลายอย่างผันเปลี่ยนไปแล้ว และด้วยกับการเปลี่ยนไปเหล่านั้น เงื่อนไขที่เคยถูกต้องก็ต้องไปเปลี่ยนเช่นกัน แต่ด้วยคำของอาวุโสมันหนักและสำคัญกว่าสิ่งใด ก็เลยมองว่าเงื่อนไขมันยังคงเดิม และเนื่องด้วยอุดมการณ์ดังกล่าวหลายครั้งหลายคราที่ผู้ชายจำต้องทิ้งบ้าน จากลูกจากเมีย และหลายครั้งด้วยกันที่เป็นการออกไปแล้วไม่กลับมา

การออกไปตามอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่และสุดโต่งของผู้ชายทั้งที่ออกไปแล้วไม่กลับมา และที่ออกไปและกลับมาพร้อมความผิด ต้องกลายเป็นโดมิโน่แห่งความผิดพลาดที่หล่นทับกันแบบเนื่องลงบนผู้เป็นมุสลิมะห์ ทั้งที่เรียกว่าแม่และเมียแบบเต็มๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นำไปสู่โดมิโน่ตัวต่อไปที่จะหล่นลงคือการออกไปหาเลี้ยงชีพด้วตนเองโดยไร้มะฮ์รอม และด้วยโดมิโน่เหล่านี้ที่หล่นลงเกิดผลพวงที่ตามมา คือการเป็นหม้าย ลูกไร้พ่อ ปัญหาระดับอนุภาคอย่างสถาบันครอบครัว เรื่องปากท้องและจีปาถะแห่งปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้นเพียงเพราะโดมิโน่ตัวแรกของผู้ชายที่ได้ล้มลงด้วยการเดินตามอุดมการณ์สุดโต่งที่หลักการศาสนายังไม่รับรองนั่นเอง

#ผลกระทบสทธิมุสลีมะห์ 3 จชต.

#เเนวคิดดอลาละห์ BRN

#คอวาริจญ์เเดนใต้

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2568

ผิดหลักศาสนาอิสลามอย่างร้ายแรง – ประณามโจรใต้ BRN แต่งกายเลียนแบบสตรี ลอบยิงผู้บริสุทธิ์

ผิดหลักศาสนาอิสลามอย่างร้ายแรง – ประณามโจรใต้ BRN แต่งกายเลียนแบบสตรี ลอบยิงผู้บริสุทธิ์

เหตุการณ์โจรใต้ BRN สุดอัปยศที่เกิดขึ้น ณ อำเภอทุ่งยางแดง จังหวัดปัตตานี เมื่อโจรใต้ BRN 2 คน แต่งกายด้วยผ้าคลุมสตรีแบบอิสลาม เพื่อปลอมตัวและอำพรางรูปลักษณ์ ใช้รถจักรยานยนต์ไร้ป้ายทะเบียน ขับเข้ามาลอบยิงหญิงสาวผู้บริสุทธิ์ 2 คน อย่างไม่ทันตั้งตัว ส่งผลให้หนึ่งในนั้นเสียชีวิตในเวลาต่อมา คือ นางสาวนูรีซัน อายุ 29 ปี ขณะที่อีกหนึ่งราย นางสาวอาชูรา อายุ 24 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัส

การกระทำของกลุ่มโจรใต้ BRN เช่นนี้ ไม่เพียงแต่ผิดกฎหมายบ้านเมืองและจริยธรรมมนุษย์เท่านั้น แต่ยังขัดกับหลักการศาสนาอิสลามอย่างร้ายแรงที่สุด

อิสลามเป็นศาสนาแห่งสันติภาพ ความยุติธรรม และศักดิ์ศรีของมนุษย์ พระองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ทรงห้ามการหลอกลวง ลอบทำร้ายผู้บริสุทธิ์ และที่สำคัญ ทรงสาปแช่งผู้ที่แต่งกายเลียนแบบเพศตรงข้าม ดังฮะดีษที่ท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) กล่าวว่า:"พระองค์ทรงสาปแช่งชายที่เลียนแบบผู้หญิง และหญิงที่เลียนแบบผู้ชาย"(รายงานโดยบุคอรีย์)

การที่บุรุษแต่งกายเลียนแบบสตรี ไม่ใช่เพียงความผิดธรรมดา แต่ถือเป็นบาปใหญ่ (كبيرة) ที่แสดงถึงการไม่เคารพเจตนารมณ์ของพระผู้สร้าง และการใช้การแต่งกายทางศาสนา เช่น ผ้าคลุมฮิญาบ เพื่ออำพรางตัวและก่อเหตุร้าย ยิ่งเป็นการดูหมิ่นบทบัญญัติอิสลามอย่างโจ่งแจ้ง

ผ้าคลุมฮิญาบคือสัญลักษณ์แห่งความละอาย ความบริสุทธิ์ และการภักดีต่อพระเจ้า แต่กลับถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำอาชญากรรม เหยียบย่ำเกียรติของผู้หญิงมุสลิมและบทบัญญัติของศาสนาอย่างน่าเศร้าใจ

ยิ่งไปกว่านั้น การลอบยิงผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้ ไม่เพียงแต่เป็นการฆาตกรรม หากแต่คือการประกาศตัวว่าเป็นศัตรูของพระองค์อัลลอฮ์ เพราะพระองค์ตรัสไว้ในอัลกุรอานว่า:“ผู้ใดฆ่าชีวิตหนึ่งโดยไม่ใช่เพราะฆ่าคน หรือก่อความเสียหายในแผ่นดิน ก็เหมือนเขาได้ฆ่ามนุษย์ทั้งปวง”(ซูเราะฮ์ อัลมาอิดะฮ์ โองการที่ 32)

ผู้กระทำผิดในครั้งนี้ ไม่สามารถอ้างศาสนาเพื่อให้ตนพ้นผิดได้ เพราะวิธีการและเป้าหมายของพวกเขาขัดแย้งกับหลักการศาสนาอย่างสิ้นเชิง การแอบอ้างว่า “ตายได้ชะฮีด” จึงเป็นคำลวงเพื่อปิดบังความโหดร้ายของตนเอง

นี่มิใช่ชะฮีด หากแต่คืออาชญากรที่แอบอ้างศาสนาเพื่อกระทำบาป

เราขอประณามการกระทำของกลุ่มโจร BRN อย่างรุนแรง และวิงวอนต่ออัลลอฮ์ (ซ.บ.) ให้ประทานความยุติธรรมแก่ผู้เสียชีวิตและครอบครัว และขอให้ผู้กระทำความผิดได้รับผลกรรมที่สาสมทั้งในโลกนี้และปรโลก

ประณามการกระทำอันโหดเหี้ยม! BRNปลอมตัวเป็นสตรีลอบยิงชาวบ้านผู้บริสุทธิ์

ประณามการกระทำอันโหดเหี้ยม! BRN ปลอมตัวเป็นสตรีลอบยิงชาวบ้านผู้บริสุทธิ์

เหตุการณ์สะเทือนใจที่เกิดขึ้นในพื้นที่อำเภอทุ่งยางแดง จังหวัดปัตตานี เมื่อโจรใต้ BRN จำนวน 2 คน สวมชุดผ้าคลุมแบบสตรีมุสลิม ปิดบังใบหน้าและรูปลักษณ์ ขี่รถจักรยานยนต์ไร้ป้ายทะเบียน ลอบใช้อาวุธปืนยิงใส่ผู้หญิง 2 รายในพื้นที่โดยไม่ทันตั้งตัว เป็นเหตุให้นางสาวนูรีซัน อายุ 29 ปี เสียชีวิต และนางสาวอาชูรา อายุ 24 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัส

การกระทำของกลุ่มโจรใต้ BRN เช่นนี้เป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม โหดเหี้ยม ป่าเถื่อน และขัดต่อหลักการของศาสนาอิสลามโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะการแต่งกายเลียนแบบสตรี เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการก่อเหตุรุนแรง ถือเป็นการบิดเบือนหลักศาสนาอย่างร้ายแรง

ศาสนาอิสลามไม่เคยสอนให้ผู้ใดลอบทำร้ายผู้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะการลอบสังหารสตรีผู้ไร้อาวุธ หลักการอิสลามที่แท้จริงสั่งให้มีเมตตา ยุติธรรม และเคารพในศักดิ์ศรีของเพื่อนมนุษย์ การลอบยิงผู้บริสุทธิ์ แล้วยังพยายามปล่อยข่าวเท็จให้เข้าใจว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ยิ่งสะท้อนถึงความอำมหิตและความไร้จริยธรรมของกลุ่มผู้ก่อเหตุ

กลุ่มโจรใต้ BRN ชอบแอบอ้างศาสนาเพื่อก่อเหตุความรุนแรง ไม่ใช่การญิฮาด แต่คือการบิดเบือนศาสนาเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ขอประณามอย่างรุนแรงต่อพฤติกรรมของกลุ่ม BRN ที่กระทำการเยี่ยงนี้ พวกเขาไม่ใช่นักสู้เพื่อความยุติธรรม หากแต่เป็นอาชญากรที่สวมหน้ากากศาสนาเพื่อสร้างความหวาดกลัวแก่ผู้บริสุทธิ์

เราขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต และผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้ และเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันยุติวงจรแห่งความรุนแรง สืบหาคนร้ายมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว

ความสันติสุขในพื้นที่ชายแดนใต้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายยึดถือความจริง ความยุติธรรม และเคารพในชีวิตของผู้บริสุทธิ์เป็นที่ตั้ง