ปี 2568 หยุดการเล่นละคร ยุติการต่อสู้ของระบวนการ BRN!
สำนักข่าว
UtusanTV
ได้เขียนบทความที่น่าสนใจกรณี…จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยอำลาปี
2567 ด้วยเหตุการณ์ความรุนแรง170
ครั้งตลอดปีนั้น ได้มีพลเรือนและเจ้าหน้าที่ของรัฐเสียชีวิตหรือบาดเจ็บหลายสิบคน
อ้างถึงรายงานของสื่อ
ซึ่งได้รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะต่าง ๆ ที่ได้รับความเสียหายจากความรุนแรง
ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของประชากรมุสลิมส่วนใหญ่ นั่นคือเหตุผลที่รุ่งอรุณของปีใหม่
2568 เกือบหนึ่งสัปดาห์
จนถึงตอนนี้ยังไม่แสดงความหวังว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นเวลา 21 ปีในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยจะสิ้นสุดลง
ไม่ใช่เพราะประชากรมุสลิมไม่ต้องการอยู่อย่างสงบสุข
ไม่ใช่เพราะประชากรมุสลิมเป็นศัตรูกับรัฐบาลไทย
หรือแม้กระทั่งเพราะรัฐบาลไทยข่มเหงประชากรมุสลิม
แต่เป็นเพราะการทรยศและความไม่ซื่อสัตย์ของกลุ่มแบ่งแยกดินแดน
แนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติ (BRN)
ในกระบวนการพูดคุยสันติภาพที่ดำเนินการมาตลอด 11 ปีที่ผ่านมา
ซึ่งหมายความว่าตราบใดที่
BRN
ยังคงมีชีวิตอยู่ ตราบใดที่ BRN ยังคงได้รับการดูแลเป็นพิเศษเพราะการแอบอ้างว่าเป็นตัวแทนของประชากรมุสลิม
พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยคงไม่ได้รับพรแห่งสันติภาพอีกจนกว่าโลกจะสิ้นสลาย
ดังนั้นปี 2568 จึงเป็นปีที่ไม่มีความจำเป็นอีกแล้วสำหรับที่จะตอบสนองความต้องการของ BRN เพราะพิสูจน์แล้วว่าพวกเขากําลังแสดงละคร และเพียงเป็นแค่การแอบอ้างเพื่อปกป้องประชากรมุสลิมเท่านั้น นับประสาอะไรกับการสร้างสันติภาพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ที่ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดยะลา นราธิวาสปัตตานี และสงขลา
ใน ปี 2568 ควรใช้เป็นเวทีในการ “ยุติการต่อสู้” ของ BRN โดยการยุติความพยายามในการพูดคุยกับกลุ่มซึ่งถือได้ว่าเป็นสาเหตุที่แท้จริงของความรุนแรงที่ได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ดังกล่าว
หาก
BRN
มีอิทธิพล แข็งแกร่ง และได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในพื้นที่จริง ๆ
ก็แน่นอนว่าความขัดแย้งจะไม่เกิดขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลา 21 ปี เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม 2547
หากพวกเขาซื่อสัตย์และจริงใจ
เป็นไปไม่ได้ที่กระบวนการพูดคุยสันติภาพที่ได้ดำเนินกการเป็นเวลา 11 ปีโดยไม่มีผลลัพธ์ใด ๆ
รัฐบาลไทยคงไม่ต้องการที่จะปล่อยให้ปัญหานี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกต่อไปในปี
2568 โดยการให้ความสำคัญต่อ BRN จนจำเป็นต้องใช้เวลาที่ยาวนาน
ใช้กำลังพลมากมาย และต้องสิ้นเปลืองงบประมาณมหาศาลกับกระบวนการที่เปล่ากระโยชน์นี้
เหตุใดจึงจำเป็นต้องปล่อยให้
BRN
ยังคงทำให้ชีวิตของประชากรมุสลิมและสามจังหวัดชายแดนในภาคใต้ของประเทศไทยตกอยู่ในความเสี่ยง
และอาจเป็นเสมือน“สิ่งของจำนำ”
สำหรับผู้นําของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนเหล่านั้นได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขโดยใช้กระบวนการพูดคุยสันติภาพเป็นเครื่องมือ?
มีการประชุมหลายสิบครั้งระหว่าง
BRN
กับรัฐบาลไทย ซึ่งมีมาเลเซียเป็นผู้อํานวยความสะดวก
แต่ผลลัพธ์เป็นอย่างไร? เหตุใดนับตั้งแต่เกิดความขัดแย้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยนับตั้งแต่ปี
2547 ที่สื่อได้รายงานว่ามีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า7,000
คนและบาดเจ็บมากกว่า 13,600 คน
นี่ถือเป็นผลของการเจรจากับ
BRN
หรือไม่? สิ่งนี้สามารถตีความได้ว่าเป็นความคืบหน้าในเชิงบวกหรือแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ
BRN ในการปรองดองหรือไม่? หากเป็นความจริงที่พวกเขามีความมุ่งมั่นดังกล่าวพื้นที่นี้ได้รับสันติภาพมานานแล้วและชาวมุสลิมจะไม่อยู่ด้วยความหวาดกลัวตลอดมา
แต่ถ้าดูรายงานของสื่อในประเทศที่ระบุว่า
ในช่วงสามเดือนสุดท้ายของปี 2567 ตั้งแต่เดือนตุลาคม มีเหตุกราดยิง
ระเบิด เผาทรัพย์สิน และการฆาตกรรมจำนวน 33 ครั้ง
ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต จำนวน 9 ราย
ที่สำคัญกว่านั้น
เหยื่อหรือเป้าหมายที่โชคร้ายที่สุดคือพลเรือน
โดยเฉพาะผู้ที่รับราชการกับรัฐบาลไทย
ความรุนแรงทั้งหมดนี้เป็นการกระทำโดย BRN และเป็นที่แน่นอนที่สุดว่า
การกระทำดังกล่าวไม่ได้รับการยินยอมจากประชากรมุสลิมที่ต้องการใช้ชีวิตอยู่อย่างสันติสุข
เพื่อบรรลุวาระส่วนตัวและความต้องการที่จะได้รับเงินทุนจากองค์กรพัฒนาเอกชนระหว่างประเทศเพื่อให้พวกเขามีชีวิตที่หรูหรา
ผู้นํา BRN ยอมที่จะโกหกและกล่าวหาว่าชาวมุสลิมถูกกดขี่
ไม่เพียงแต่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยเท่านั้น
แต่ยังรวมถึงทั่วประเทศด้วย
ซึ่งในความจริงแล้ว
ประชากรมุสลิมไม่ได้ถูกกดขี่
และพวกเขาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเสมอภาคเท่าเทียมเหมือนกับคนไทยคนอื่น ๆ
ตัวอย่างเช่น ที่รามคําแหงกรุงเทพมหานคร ในพื้นที่ดังกล่าวประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิมและมาจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย
พวกเขาสามารถดำเนินการกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างอิสระโดยไม่มีอุปสรรคหรือข้อจํากัดใด
ๆ จากเจ้าหน้าที่รัฐของไทย
ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือมีโรงแรมหรู
เช่น Almeroz
Hotel ที่เมืองหลวงซึ่งโรงแรมดังกล่าวชาวมุสลิมเป็นเจ้าของ
นอกจากนี้ จากสถิติการท่องเที่ยวในปี 2565
ประเทศไทยมีมัสยิดในประเทศ จำนวน 3,464 แห่ง
ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ
มีมัสยิดถึง 170 แห่ง
ดังนั้น
บนพื้นฐานอะไรที่ BRN
ได้ใส่ร้ายว่าชาวมุสลิมในประเทศไทยโดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยว่าถูกกดขี่?
จากการพูดคุยกับคนหนุ่มสาวที่กําลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยหลายแห่งในกรุงเทพฯรวมถึงมหาวิทยาลัยรามคําแหง
พวกเขารู้สึกเสียใจและผิดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยซึ่งเป็นพื้นที่บ้านเกิดของพวกเขา
สิ่งที่พวกเขาต้องการคือ
ให้พื้นที่ดังกล่าวปลอดภัย สงบสุข และเจริญรุ่งเรือง
แทนที่จะถูกพันธนาการด้วยความรุนแรงและขัดแย้งกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดน เช่น กลุ่ม BRN
พวกเขาเข้าใจในความพยายามอย่างเต็มที่ของรัฐบาลไทย
เพื่อยุติความขัดแย้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย รวมถึงการพูดคุยกับ BRN แต่ทั้งหมดนี้ไม่ประสบความสำเร็จ นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาเชื่อว่า
ตราบใดที่ BRN ยังมีอยู่
พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยจะไม่สงบสุขแน่นอน
พวกเขาเข้าใจว่ารัฐบาลไทยที่ได้มีพยายามอย่างเต็มที่
เป็นความจริงสิ่งที่พวกเขาได้พูดก็คือ BRN ไม่เพียงแต่ปล้นสันติภาพในพื้นที่จังหวัดชายแดนถาคใต้ของไทย
แต่ยัง“ทำลาย”เศรษฐกิจและสังคมรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ดังกล่าวด้วย
แม้ว่ารัฐบาลไทยจะพยายามควบคุมสถานการณ์เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชากรมุสลิมแต่
BRN ยังคงเป็น “สัตว์รังควาน” ที่ขัดขวางความพยายามทั้งหมด
ด้วยเหตุนี้
เยาวชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยเห็นว่า BRN สุดโต่ง
เพราะไม่เพียงแต่ฆ่าชาวมุสลิม แต่ยังทำลายโครงสร้างพื้นฐาน เช่น เสาโทรคมนาคม
และทำลายทรัพย์สินของรัฐบาล เช่น เสาไฟฟ้าที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของประชาชน
การทำลายเสาโทรคมนาคมและเสาไฟฟ้าไม่ใช่เรื่องเล็ก
ๆ เพราะมันส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชากรมุสลิม
เนื่องจากการสื่อสารกับสมาชิกในครอบครัวได้รับผลกระทบและพ่อค้าจำนวนมากประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่เมื่อไฟฟ้าถูกตัดขาด
ด้วยการก่อเหตุความรุนแรงทุกรูปแบบที่เกิดขึ้นและการก่ออาชญากรรม
ยังคู่ควรกับBRN
อีกหรือที่จะได้รับเชิญให้นั่งโต๊ะพูดคุยหรือไม่? พวกเขายังคู่ควรกับการได้รับการพิจารณาว่าเป็นนักต่อสู้สำหรับประชากรมุสลิมหรือไม่
?
อีกคําถามหนึ่งคือตัวแทน
BRN
ในกระบวนการพูดคุยสันติภาพนําเสียงของฝ่ายแบ่งแยกดินแดนมาจริงหรือ?
ถ้าเป็นเช่นนั้น เหตุใดความรุนแรงจึงยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนี่อง?
และเหตุใดจึงมีการโจมตีด้วยปืนและระเบิดทุกครั้งในระหว่างมีการพูดคุย?
ผู้เขียนถามคําถามนี้เพราะมีรายงานว่า ในกลุ่มของ BRN เองกําลังเกิดความขัดแย้งและถูกแบ่งออกเป็นหลายฝ่ายเนื่องจากการแย่งชิงเพื่อเป็นตัวแทนของโต๊ะพูดคุย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีกการเมืองและปีกฝ่ายทหาร
ปัจจุบันว่ากันว่า ตัวแทนของ BRN เป็นตัวแทนของปีกการเมืองจากพื้นที่เดียวเท่านั้นโดยไม่มีตัวแทนจากปีกฝ่ายทหาร จึงเป็นสาเหตุของความล้มเหลวของกระบวนการพูดคุยสันติภาพ สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า BRN อ่อนแอเพียงใด และพิสูจน์ให้เห็นว่าความพยายามใด ๆ ที่จะพูดคุยกับพวกเขานั้นไร้ประโยชน์เพราะพวกเขาแตกแยกกันเอง
ดังนั้นปี
2568 จึงไม่ใช่ปีที่จะพูดคุยกับ BRN นับประสาอะไรกับการให้ความความสำคัญต่อความรู้สึกว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของผู้นํา
BRN ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นตัวกำหนดอนาคตของสันติภาพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย
ในทางกลับกัน
เพื่ออนาคตของพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
โดยเฉพาะสวัสดิภาพของชาวมุสลิมในพื้นที่ดังกล่าว
ต้องหยุดการแสดงละครและการโฆษณาชวนเชื่อของ BRN และต้องยุติบทบาทการต่อสู้ของ
BRN
เพียงแค่ปิดประตูการพูดคุยกับฝ่ายดังกล่าว
และในฐานะผู้ปกครองที่ถูกต้องตามกฎหมาย
รัฐบาลไทยสามารถใช้บทบัญญัติทางกฎหมายและรัฐธรรมนูญทั้งหมดเพื่อยุติความขัดแย้งในพื้นที่ดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม
ผู้เขียนมั่นใจอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาได้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยมาไม่ถึง 6
เดือน แต่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ย่อมมีกลยุทธ์ในการตอบสนองต่อพฤติกรรมของ BRNอย่างแน่นอน
สิ่งที่แน่นอน
เพียงพอแล้ว เป็นเวลา 21
ปี ที่ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวทุกข์ยากเพราะการกระทำของ BRN
ปล่อยให้ในปี 2568 ให้ผู้นํา BRN รู้สึกทุกข์ยากเนื่องจากการกระทำของตนเองบ้าง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น