วันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2567

เกือบ 20 ปีกับวิถีคนแดนใต้ บทวิจัยเปื้อนอคติ เปลวเทียนในพายุ

นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่เป็นเสมือนระฆังส่งสัญญาณเริ่มการปะทุของไฟใต้ระลอกใหม่ ส่งเสียงขึ้นด้วยเหตุการณ์ปล้นปืนของกองพันพัฒนาที่ 4 ซึ่งผู้ก่อเหตุรุนแรงนับร้อยคนบุกเข้าไปในค่ายทหาร แล้วลงมือสังหารเจ้าหน้าที่เสียชีวิตไป 4 นาย พร้อมนำอาวุธปืนจำนวนมากไปด้วยนั้น ฝันร้ายของพี่น้องประชาชนในพื้นที่แห่งนี้ก็เริ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน

เวลาผ่านไปเกือบ ๆ จะ 20 ปี กับหลายร้อยพันเหตุร้ายที่เกิดขึ้น พร้อมกับชีวิตทั้งของเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ปลิดปลิวไป เป็นไปตามสัจธรรมที่ว่าภายใต้ภาวะการรบพุ่งที่ต่างฝ่ายต่างใช้อาวุธเข้าห้ำหั่นกันย่อมมีการสูญเสีย เปรียบเสมือนการสาดน้ำเข้าหากันย่อมต้องเปียกปอนกันไปทั้งสองฝ่าย แต่ชีวิตของประชาชนผู้ไม่เกี่ยวข้องย่อมไม่สมควรที่จะต้องได้รับผลกระทบไปด้วย ซึ่งประเด็นนี้คงเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยมโนธรรมของคู่ขัดแย้งเป็นสำคัญ ขึ้นอยู่กับว่าจะมีหรือไม่

การวิพากษ์ถึงทางออกรวมถึงรากเหง้าของปัญหาถูกถ่ายทอดออกมาเป็นบทวิเคราะห์จากนักวิชาการผู้ทรงภูมิ การระดมสมองหาทางออกด้วยการกำหนด Road Map มากมายนับครั้งไม่ถ้วน รวมทั้งผลงานการวิจัยจากสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงอีกจำนวนมากเพื่อหาบทสรุปในการแก้ปัญหาที่ลงตัว

แต่สุดท้ายก็ยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ด้วยเหตุผลสำคัญที่มองเห็นได้ง่ายที่สุดคือ บรรดาผู้รู้เหล่านั้นไม่ได้ลงมาสัมผัสกับวิถีชีวิตภายใต้ภาวะความขัดแย้งอย่างแท้จริง มีการใช้ความรู้สึกหรือทัศนคติของตนเองเข้าสู่กระบวนการคิดวิเคราะห์ ผลที่ออกมาจึงมีความคลาดเคลื่อนตั้งแต่เล็กน้อยไปถึงมากและมากขึ้นจากหน้ามือเป็นหลังมือในท้ายที่สุด ซึ่งสำหรับผลงานทางวิชาการที่มีกระบวนการหาคำตอบอย่างมีหลักการแล้วนับว่าน่าเสียดายแรงกายแรงใจที่ตั้งใจจะใช้ความรู้ความสามารถมาเพื่อช่วยแก้ปัญหา แต่กลับกลายเป็นมาสร้างปัญหาไปซะได้

ผม ได้มีโอกาสได้อ่านงานวิจัยของท่านผู้รู้ท่านจากมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง ซึ่งได้ถูกตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิจัย และนำเสนอในเว็บไซต์ต่างๆ เป็นเรื่องราวที่ท่านผู้วิจัยได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลเพื่อศึกษาวิถีชีวิตของผู้คน โดยมีพื้นฐานข้อมูลเดิมคือ ความแยกขาดจากวิถีชุมชนและการใช้ชีวิตที่ผูกติดกับศาสนาและวัฒนธรรมของคนที่นี่ ภาพของการก่อการร้ายและความรุนแรงในพื้นที่พร้อมๆ กับเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจที่ลงมาปฏิบัติงานจำนวนมากมาย ซึ่งเป็นเพียงข้อมูลอันน้อยนิดที่ท่านผู้วิจัยมี ประกอบกับท่านเป็นหญิงมุสลิม ซึ่งไม่ใช่คนในพื้นที่สามจังหวัดที่ได้รับรู้เพียงเถ้าธุลีของควันระเบิดจากสื่อต่างๆ เท่านั้น ผลงานวิจัยจึงออกมาในเชิงสะท้อนเพียงภาพความขัดแย้งและติดกับอยู่เพียงภาพลบที่ได้จากการเก็บข้อมูลเพียงไม่กี่วัน นี่จึงเป็นการ “ติดกับดักทางความคิดแบบคู่ตรงข้าม” อย่างแท้จริง

 คุยกับทหาร 2 นายตีค่าทหาร 20,000 นาย

ตามแนวทางของงานวิจัยแล้ว การได้พูดคุยกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเก็บข้อมูลที่มีคุณค่า เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการเชิงตรรกมีหลักเกณฑ์และวิธีการอย่างแน่ชัด แต่การเก็บข้อมูลจากกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับล่างจากหน่วยสันติพัฒนาเพียง 2 นาย ซึ่งกล่าวถึงการอบรมก่อนลงมาประจำการในภาคใต้ว่า มีระยะเวลาเพียงสองวัน แล้วนำมาสรุปว่าเป็นสาเหตุสำคัญของความไม่เข้าใจในวิถีชุมชน ศาสนาและวัฒนธรรม

คงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องทั้งหมด จริงอยู่ว่าคงเป็นไปไม่ได้ ที่จะให้คนนอกพื้นที่ ได้เข้าใจทุกเรื่องราวด้วยเวลาอันสั้น แต่การเรียนรู้จากการเข้าปฏิบัติงานในพื้นที่ ซึ่งเป็นประสบการณ์ตรงที่เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันต่างหากที่มีคุณค่า และได้ผลมากกว่าการเรียนรู้จากการอบรม และแน่นอนที่สุดคือ ทหารสองท่านนั้นน่าจะอยู่ในพื้นที่นานกว่าท่านผู้วิจัยอย่างแน่นอน

การด่วนสรุปว่า ไม่มีความเข้าใจนี้ จึงอาจหมายรวมถึงตัวผู้วิจัยเองด้วย และการได้มาซึ่งข้อมูลที่ถูกต้องนั้นสมควรที่จะต้องใช้จำนวนของกลุ่มตัวอย่างอย่างเพียงพอแล้ว จึงมาประมวลผลรวมในเชิงสถิติ นั่นจะเป็นการรวบรวมที่ได้ผลใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด การชิงฟันธงว่าเจ้าหน้าที่ไม่มีความเข้าใจถึงวิถีชุมชนจึงเป็นการตีความที่ไร้หลักการโดยสิ้นเชิง

บทสรุปความขัดแย้งในมโนสำนึก

การนำเสนอภาพความขัดแย้งในลักษณะ “พวกเขา” และ “พวกเรา” ในที่นี้หมายถึง 2 กรณี คือ ชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่ และ คนไทยพุทธกับคนมุสลิม บ่งชี้ให้เห็นถึงภาพในจิตใจของผู้วิจัย ที่มองเห็นเพียงภาพความแปลกแยกแตกต่างในมโนสำนึกตั้งแต่เริ่มแรก ทำให้บทสรุปของความรักความสามัคคีระหว่างคนที่มีความเชื่อถือศรัทธาแตกต่าง แต่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้มาช้านานต้องเปลี่ยนแปลงไป

ซึ่งบทสรุปที่บิดเบี้ยวนี้ เมื่อถูกสื่อผ่านสื่อมวลชนย่อมส่งผลให้ผู้ที่ไม่ได้รับทราบข้อเท็จจริงจินตนาการเห็นภาพความขัดแย้งที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงหรือมีเพียงส่วนน้อยให้เป็นไปตามเจตนาที่ผู้วิจัยได้ตั้งธงไว้ก่อนแล้วล่วงหน้า ส่วนผสมระหว่าง “อคติ” กับ “ความเป็นจริง” จึงไม่สามารถเขย่ารวมกันได้อย่างกลมกลืน เนื่องจากอคติที่มาบดบังหลักวิชา

ถึงวันนี้ ภาพการอยู่ร่วมกันด้วยความเข้าอกเข้าใจของคน 2 ศาสนาบนพื้นฐานของความพยายามเข้าใจซึ่งกันและกัน ยังมีให้เห็นอยู่มากมาย การร่วมกิจกรรมของเพื่อนบ้านต่างศาสนา ยังมีให้เห็นเป็นเรื่องปกติ น่าเสียดายที่ท่านผู้วิจัยมิได้หยิบยกมานำเสนอในลักษณะรักษาสมดุลอย่างมีจิตเป็นกลาง

การสนับสนุนการศึกษาทางศาสนาที่ถูกมองข้าม

ข้อสังเกต ความคลาดเคลื่อนที่มิใช่ความจริงทั้งหมดอีกประการที่ถูกหยิบยกมานำเสนอเพียงด้านเดียวคือ การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากในพื้นที่ การกล่าวอ้างคำบอกเล่าของชาวบ้าน ซึ่งเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองหรือผู้บริหารโรงเรียนเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจค้นที่พัก และโรงเรียนด้วยเหตุสงสัยว่ามีความเกี่ยวข้องกับการก่อความไม่สงบทำให้ฝ่ายชาวบ้านไม่พอใจ จริงอยู่ว่าจากการปฏิบัติ หลายครั้งในช่วงที่ผ่านมาไม่พบสิ่งต้องห้ามในสถานศึกษาที่เข้าตรวจค้น ซึ่งทราบว่า ทุกครั้ง ได้มีการชี้แจงถึงเหตุผลและความจำเป็นให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อความเข้าใจร่วมกัน และเป็นธรรมดาอยู่เองที่ผลกระทบทางจิตใจของผู้บริหารสถานศึกษาย่อมมีอยู่ในใจ

แต่หากมองด้วยใจเป็นธรรม คงไม่มีใครต้องการที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยว เพื่อสร้างผลกระทบต่อการเรียนของลูกหลาน หากไม่มีสิ่งชี้นำที่พาดพิงไปถึง และหลายครั้งเช่นเดียวกันที่การตรวจค้นพบทั้งตัวผู้ต้องหาที่มีหมาย ป.วิอาญา ระเบิด อุปกรณ์ประกอบระเบิด หรือแม้กระทั่งอาวุธปืนสงครามมากมาย จนถึงขนาดมีคำสั่งปิดโรงเรียนไปหลายแห่งนี่เป็นความจริงอีกเรื่องที่อยากจะสื่อให้สังคมทราบ

ความจริงอีกประการที่อยากจะเสริมเพิ่มเติมให้กับงานวิจัยดังกล่าวคือ การสนับสนุนการศึกษาของเยาวชนมุสลิมในสามจังหวัดแห่งนี้ ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนเป็นจำนวนกว่าหนึ่งหมื่นบาทต่อคนต่อปี ซึ่งการสนับสนุนเช่นนี้ไม่มีในโรงเรียนของรัฐทั้งในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และทั่วประเทศ

นี่ย่อมแสดงให้เห็นถึงความจริงใจในการสนับสนุนการศึกษาของบุตรหลานโดยรัฐบาล และนี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การศึกษาทางศาสนาใน 3 จังหวัดภาคใต้ ได้รับการพัฒนาจนเป็นที่ยอมรับว่ามีมาตรฐานในโรงเรียนขนาดใหญ่

แต่อีกมุมมองหนึ่งก็ทำให้เกิดโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามขึ้นอีกมากมายราวดอกเห็ด สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากเงินสนับสนุนของรัฐบาลนี่เอง

เรื่องราวที่ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ทั้งผลดีและผลเสียจากการสนับสนุนข้างต้นจะยังไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้ เป็นแต่เพียงสงสัยว่าเหตุใดเรื่องราวการสนับสนุนดีๆ เช่นนี้ไม่ถูกนำเสนอในผลงานวิจัย

ผม เคยถามบาบอหลายท่าน ถึงสภาพความทรุดโทรมของห้องเรียนและอุปกรณ์การเรียนการสอนของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ส่วนใหญ่ในพื้นที่ว่า เหตุใดจึงไม่ได้รับการปรับปรุงทั้งที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจำนวนมาก คำตอบคือ เป็นความต้องการให้เยาวชนได้เรียนรู้สภาพความเป็นอยู่ตามวิถีที่เรียบง่ายของมุสลิม ซึ่งก็เป็นคำตอบที่ฟังดูมีเหตุผล แต่จะมีเหตุผลอื่นอีกหรือไม่ฝากท่านผู้วิจัยลองลงมาทำวิจัยเรื่องนี้ดูซักครั้ง

ความยุติธรรมกับการก่อการร้าย

หลายปีที่ผ่านมา การติดตามจับกุมผู้กระทำผิดที่ก่อเหตุในพื้นที่มีเป็นจำนวนมาก ภายหลังการจับกุมสิ่งหนึ่งที่เขาเหล่านั้นเรียกร้องเป็นเสียงเดียวกันคือ “ความยุติธรรม” พร้อมกับการช่วยเหลืออย่างออกนอกหน้าขององค์กรภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายและสิทธิมนุษยชน ซึ่งมักเรียกร้องเฉพาะกรณีผู้กระทำผิดจากการก่อความไม่สงบเท่านั้น ที่ต้องบอกว่าเท่านั้น เพราะไม่มีการเรียกร้องสิทธิให้กับประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต จากการกระทำของเขาเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อยนอกจากการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่รัฐ การกล่าวอ้างเรียกร้องความเป็นธรรมจากการสังหารประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้อง จึงไม่ใช่การเรียกร้องความยุติธรรม กระบวนการยุติธรรมที่โปร่งใสเป็นธรรมต่างหาก ที่พวกเขาต้องเข้าไปสู่กระบวนการตามครรลองของกฎหมาย

การเรียกร้องหาเอกราชตามท้องถนนและป้ายจราจรวันนี้ ยังมีปรากฎให้เห็นโดยทั่วไปพร้อมๆ กับการก่อเหตุร้าย เพื่อกดดันรัฐบาลควบคู่กับการพูดคุยตามแนวทางสันติที่กำลังดำเนินไป แต่สำหรับผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากการก่อเหตุของผู้ก่อเหตุรุนแรงแล้ว เขาจะไปเรียกร้องความยุติธรรมได้กับใคร

จากการสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมทราบว่า งานวิจัยดังกล่าวทำไว้ตั้งแต่ปี 50 และมีการนำเสนอผลงานการวิจัยนี้ผ่านสื่อในสมัยนั้นไปแล้ว แต่การนำข้อมูลเดิม ซึ่งล้าสมัยมาเผยแพร่ใหม่โดยไม่ได้ให้ข้อมูลเรื่องเวลาที่ล่วงเลยและบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปของสภาพสังคมจิตวิทยาในพื้นที่ จึงอาจสร้างความสับสนต่อผู้อ่านซึ่งไม่ใช่เรื่องที่สมควร เว้นแต่ผู้รวบรวมจะมีเจตนาแฝงอื่นๆ

ตลอด 19 ปีที่ผ่านมา ผม ได้เฝ้าติดตามความเป็นไปในวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ ได้เห็นการโหมกระพือสถานการณ์ใต้ จนเกินจริงเพื่อนำไปสู่สิ่งที่ต้องการมากมาย ชีวิตและความตายกลายเป็นสิ่งหอมหวลสำหรับบุคคลและกลุ่มบุคคลหลายกลุ่มหลายฝ่ายที่เข้ามาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์บนความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชนอย่างไม่รู้จักจบสิ้น เสมือนพายุร้าย ที่โหมกระหน่ำเข้าใส่เปลวเทียนที่ริบหรี่ใกล้มอดดับ เราจะช่วยกันปกป้องให้ผ่านพ้นไป ในวันที่สามารถทำได้ตามบทบาทของแต่ละคน หรือจะเฝ้าดูมันดับลงพร้อมๆ กับชีวิตของคนชายขอบแห่งนี้ พระเจ้าเท่านั้น ทรงรอบรู้...อามีน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น