ภาพถ่ายการพบปะหารือกันอย่างใกล้ชิดระหว่าง
นายกฯเศรษฐา ทวีสิน กับ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ที่ถูกเผยแพร่ออกมาเมื่อเร็วๆ นี้ สร้างกระแสวิจารณ์ได้ไม่น้อย
ไม่ใช่แค่ภาพนี้สมบูรณ์สวยงาม
ทั้งองค์ประกอบ แสง สี อารมณ์ของภาพที่เน้น mood and tone ร่วมไม้ร่วมมือระหว่างผู้นำกองทัพกับผู้นำรัฐบาล
แต่จากสารที่สื่อผ่านภาพ
และสาระที่นายกฯเศรษฐาขยายความเพิ่มเติม สะท้อนจุดยืนของรัฐบาลชุดนี้ว่า
ใช้กลไกของทหารและกองทัพในการแก้ไขปัญหาประเทศอย่างเต็มพิกัด
ไม่เว้นแม้แต่ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
สวนทางกับการเรียกร้องของพรรคการเมืองและประชาชนบางส่วนที่ให้ลดบทบาทกองทัพในงานอื่นที่ไม่ใช้งานป้องกันประเทศ ซึ่งเป็น “หน้างาน” ของทหารโดยตรงลง โดยเฉพาะภารกิจด้านการเมือง และหน้างาน “ดับไฟใต้” ที่กำลังสู่โหมดของการพูดคุยเจรจา จึงมองกันว่า “คนถืออาวุธ” ไม่ควรแสดงบทบาทนำ
แต่นายกฯเศรษฐา
แสดงท่าทีตรงกันข้าม ตามที่เคยประกาศจุดยืนว่าจะให้เกียรติกองทัพ ไม่ด้อยค่า
และใช้กลไกของกองทัพร่วมแก้ไขปัญหาของประเทศในทุกๆ ด้านต่อไป
“โดยปกติผมจะพบปะกับผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นประจำอยู่แล้ว
โดยวันนี้เป็นเรื่องรับทราบข้อมูลแนวทางการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้
แนวทางการทำงานกับรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงของมาเลเซีย
รวมถึงปัญหายาเสพติดที่จะทะลักเข้ามาจากเมียนมา ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องเฝ้าระวัง
โดยทางทหารจะทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เพื่อปราบปรามยาเสพติดและสกัดการนำเข้าอย่างจริงจัง”
“นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องการเผาป่าในพื้นที่ภาคเหนือ
ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ต้องพึ่งฝ่ายความมั่นคงค่อนข้างมาก”
“อีกเรื่องที่คุยกันในภาพรวม
คือผมอยากให้ทหารมาช่วยเหลือประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหายาเสพติด
ปัญหาสิ่งแวดล้อม เรื่องที่ดินทำกิน ช่วยดูแลปัญหาน้ำไม่ให้ท่วม ไม่ให้แล้ง
รวมทั้งดูแลทุกข์สุขของพี่น้องประชาชน
นอกเหนือจากเรื่องความมั่นคงที่ท่านดูแลอยู่แล้ว ซึ่งจะช่วยลดช่องว่างระหว่างทหารกับประชาชนได้อีกทางหนึ่งด้วย”
เป็นคำสัมภาษณ์แบบยาวๆ
ของนายกฯเศรษฐา ภายหลังเชิญผู้บัญชาการทหารสูงสุดเข้าหารือที่ตึกไทยคู่ฟ้า
ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.2566 ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ ใช้เวลาประมาณ 20
นาที
กองทัพ
: กลไกรัฐที่ต้องถูกตรวจสอบ?
พิจารณาจากท่าทีของนายกฯเศรษฐา
น่าจะถูกใจและยินดีที่ได้ทำงานร่วมกับผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนนี้ เนื่องจาก
พล.อ.ทรงวิทย์ เป็นนักเรียนนอก มีหัวคิดสมัยใหม่ และทำงานสไตล์ “คิดเร็ว ทำเร็ว”
เหมือนกัน
การให้เกียรติและแสวงหาความร่วมมือจากทุกฝ่ายในการระดมสมอง
ระดมสรรพกำลังแก้ไขปัญหาประเทศ ไม่ใช่เรื่องผิด
และเป็นแนวทางที่นายกฯเศรษฐายึดมั่นมาตลอด
แต่สิ่งที่สังคมบางส่วน
และกลุ่มการเมืองบางกลุ่มมองอย่างไม่สบายใจ
เพราะสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นควบคู่กันไปด้วย นอกจากทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น ก็คือ
การตรวจสอบการทำงานของกองทัพ, ความชอบธรรมในการใช้อำนาจตามกฎหมายพิเศษต่างๆ
รวมถึงความโปร่งใสในการใช้จ่ายงบประมาณ และความเหมาะสม
คุ้มค่าในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์
ที่สำคัญคือการลดบทบาทในงานความมั่นคงภายใน
โดยเฉพาะปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
เพราะความขัดแย้งของคนในชาติเดียวกัน นานาอารยประเทศใช้ตำรวจ
หรือฝ่ายพลเรือนเข้ามาแก้ปัญหา ไม่ใช่ทหาร
ยิ่งการยุ่งเกี่ยวข้องแวะในทางการเมืองด้วยแล้ว
ชาติตะวันตกและสหรัฐยอมรับไม่ได้เลย
ชงตั้ง
กมธ. - สภาขอมีเอี่ยวพูดคุยดับไฟใต้
พิจารณาจากองคาพยพในประเทศของเราเอง
ในขณะที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯเศรษฐา เดินในทิศทางที่เห็นและเป็นอยู่นี้
แต่ในปีกของฝ่ายนิติบัญญัติ
กรรมาธิการวิสามัญของสภา กลับปักหมุด
กำหนดแนวทางในภารกิจดับไฟใต้ไปคนละทิศอย่างสิ้นเชิง
อย่างการประชุมในหัวข้อ
“การสร้างความเข้าใจรากเหง้าความขัดแย้ง
และกระบวนการสร้างสันติภาพชายแดนใต้/ปาตานี” ที่อาคารรัฐสภา
ซึ่งจัดโดยคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษาและเสนอแนวทางการส่งเสริมกระบวนการสร้างสันติภาพเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
(กมธ.สันติภาพชายแดนใต้) เมื่อเร็วๆ นี้นั้น
นายจาตุรนต์
ฉายแสง ประธาน กมธ. เผยว่า บทบาทของรัฐสภาต่อกระบวนการพูดคุยสันติภาพ
(คณะพูดคุยที่รัฐบาลตั้งขึ้น ใช้ชื่อว่า คณะพูดคุยสันติสุขฯ)
ควรจะมีคณะกรรมการของสภา และควรจะมีกฎหมายอะไรที่เอื้อต่อการพูดคุยสันติภาพ
และทำให้การพูดคุยสันติภาพสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้
โดยปรับการทำงานของฝ่ายบริหารเพื่อให้เกิดการทำงานที่เป็นเอกภาพและมีเจ้าหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง
ทำงานเต็มเวลา
ทั้งนี้เพราะ
กมธ.เห็นปัญหาที่ยังไม่เป็นเอกภาพ ยังไม่มีความชัดเจนในการจัดระบบการทำงาน
และคงต้องศึกษาต่อไปว่าระบบการทำงานที่จะเป็นประโยชน์ควรเป็นอย่างไร
รวมถึงขจัดอุปสรรคต่อการเดินหน้าคุยสันติภาพที่ปราศจากความหวาดกลัว
และนำขึ้นสู่ความเป็นสากล เพราะเห็นว่ายังมีอุปสรรคในเรื่องนี้
และมีความเห็นที่แตกต่างกัน เช่น ควรจะมีการลงนามหรือไม่, ควรจะทำให้การพูดคุยเป็นทางการหรือไม่
“เป็นเรื่องน่ายินดีที่รัฐบาลตั้งคณะทำงานพูดคุยสันติสุขฯขึ้นมาแล้ว
แต่เป็นข้าราชการทั้งหมดและหัวหน้าคณะเป็นพลเรือน ซึ่งเราคงแลกเปลี่ยนกับคณะนี้
และเห็นว่าควรจะมีองค์กรหรือคณะกรรมาธิการเฉพาะที่จะช่วยส่งเสริมผลักดัน
ติดตามการทำงานการพูดคุยสันติภาพเป็นการเฉพาะ
เพราะที่ผ่านมาบทบาทของฝ่ายนิติบัญญัติจะจำกัด แม้แต่การรับรู้ความคืบหน้าต่างๆ
ก็มีน้อย”
ทบทวนการใช้กฎหมายพิเศษ
– ปรับทิศ “งบดับไฟใต้”
นายจาตุรนต์
กล่าวอีกว่า กมธ.สันติภาพชายแดนใต้จะร่างข้อเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร
เพื่อเสนอไปยังรัฐบาลต่อไป คาดว่ากลางเดือน ม.ค.ปีหน้าน่าจะมีข้อสรุปบางส่วนออกมา
รวมถึงข้อสรุปในข้อบัญญัติและการแก้ไขกฎหมายที่เอื้อต่อการสร้างสันติภาพโดยรวม
ซึ่งมีข้อเสนอเรื่องการออกกฎหมายใหม่ การแก้กฎหมายเดิมที่มีอยู่
รวมทั้งการทบทวนการบังคับใช้กฎหมายพิเศษในพื้นที่ ทั้งกฎอัยการศึก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
พ.ร.บ.ความมั่นคง โดยจะมีการศึกษาเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการสร้างสันติภาพ
และเป็นประโยชน์ต่อการทำให้เกิดความสงบ การอยู่ร่วมกันของประชาชนในพื้นที่อย่างมีสันติสุข
นอกจากนี้
ยังต้องศึกษาถึงการปรับงบประมาณให้สอดคล้องกับแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธี
และสอดคล้องกับแนวทางทางการเมือง
เพราะที่ผ่านมาจะได้ยินตัวเลขการใช้งบประมาณในหลายปีเป็นจำนวนสูงถึง 5 แสนล้านบาท
รวมทั้งการจัดงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวกับปัญหาความมั่นคงในการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีและแสวงหาทางออกทางการเมือง
ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องการการมีส่วนร่วมของประชาชน
และที่สำคัญ
งบประมาณที่เกี่ยวกับการพัฒนาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ควรจะสอดคล้องกับความต้องการของคนในพื้นที่ เพื่อเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน
องค์กรดับไฟใต้ทำงานลักลั่น
ถือกฎหมายคนละฉบับ
“กมธ.ชุดนี้
สภามอบหมายให้ทำงาน 90 วัน แต่จากที่ฟังผู้เชี่ยวชาญ
มีแนวโน้มว่าอาจจะต้องขยายเวลา” นายจาตุรนต์
เอ่ยถึงทิศทางการทำงานซึ่งอาจยาวนานกว่า 90 วันตามกรอบเวลาที่กำหนด
และว่า
หลังจากนี้จะทำ 2 ส่วน คือ ตั้งหัวข้อในการศึกษาพิจารณาที่ชัดเจน และจะมีการรับฟัง, ลงพื้นที่ โดยต้นเดือนหน้าจะลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 2-3 ครั้ง
และให้อนุกรรมาธิการไปรับฟัง
และคาดว่าจะทยอยมีข้อสรุปที่เป็นข้อเสนอในประเด็นใหญ่ๆ ได้
ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมทีมงานเพื่อร่างข้อเสนอ
"การตั้งคณะพูดคุยฯ
เป็นส่วนหนึ่งที่คงจะศึกษาดูว่า มีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร
โดยจะเชิญผู้มีประสบการณ์จากการพูดคุยทุกชุดมาให้ความเห็นในสัปดาห์หน้า”
“และอีกส่วนคือการจัดการบริหารความรับผิดชอบการแก้ปัญหาความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ซึ่งได้รับผลกระทบจากคำสั่ง คสช.ส่วนหนึ่ง
และหน่วยงานที่ดูแลพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบบัญชาการโดยนายกรัฐมนตรี
แต่ไม่มีระบบในการประสานเชื่อมโยงองค์กรเหล่านี้เข้าด้วยกัน
ทำให้แต่ละหน่วยงานหรือกฎหมายคนละฉบับ ศอ.บต.ก็ฉบับหนึ่ง กอ.รมน.ก็ฉบับหนึ่ง
สภาความมั่นคงแห่งชาติก็อีกฉบับหนึ่ง ขณะที่กองทัพก็มีกฎอัยการศึก
และยังเป็นหัวหน้า กอ.รมน.ในภาคใต้ด้วย
จึงเห็นปัญหาการลักลั่นไม่มีการประสานงาน"
ไม่ปิดทาง
ยุบ กอ.รมน. - หารูปแบบปกครองพิเศษ
ส่วนที่พรรคก้าวไกลเสนอยุบ
กอ.รมน.นั้น นายจาตุรนต์ กล่าวว่า กมธ.ได้ยินเรื่องนี้มาแล้ว
และได้เห็นปัญหาความลักลั่น ความไม่เป็นเอกภาพ หรือไม่มีระบบประสานงาน
ก็จะเป็นประเด็นหนึ่งที่จะศึกษาถึงระบบประสานงานที่ดี
องค์กรที่เหมาะสมที่จะรับผิดชอบกฎหมายที่จะใช้ควรจะเป็นอย่างไร
ซึ่งเชื่อว่าข้อเสนอเหล่านี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจ
และใช้นโยบายในการแก้ไขปัญหา
ในเรื่องข้อเสนอพื้นที่ปกครองพิเศษนั้น
นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ประเด็นเหล่านี้
โดยเฉพาะการกระจายอำนาจในรูปแบบการบริหารการปกครองพื้นที่ที่เหมาะสม
กฎหมายที่เอื้อต่อกระบวนการสร้างสันติภาพและการพูดคุย
จะต้องมีการศึกษาหาข้อมูลแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและหาข้อสรุปของ กมธ.
ซึ่งเป็นเรื่องของทั้งประเทศอยู่แล้ว
โดยเฉพาะเรื่องการกระจายอำนาจในปัจจุบันที่ดูเหมือนจะถอยหลัง
“รูปแบบการปกครองพิเศษของ
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะเป็นอย่างไร แต่ต้องแตกต่างจาก กรุงเทพมหานคร หรือพัทยา
ที่จะต้องหาสมดุลที่เกิดการกระจายอำนาจที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ควรจะได้รับ”
“เช่นเดียวกันกับหลายจังหวัดที่ควรจะมีการกระจายอำนาจมากขึ้นอยู่แล้ว
ซึ่งการกระจายอำนาจพิเศษเป็นเรื่องที่จะต้องมีการศึกษา
โดยที่สังคมควรจะต้องรับรู้ปัญหาความขัดแย้ง
กระบวนการสร้างสันติภาพจึงต้องมีการดำเนินการในหลายเรื่อง
รวมถึงเรื่องของการมีกฎหมายที่เหมาะสมกับสถานการณ์
เรื่องกระบวนการยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านที่เหมาะสมกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้” นายจาตุรนต์
อธิบาย
เมื่อประมวลประเด็นที่ฝ่ายนิติบัญญัติจะเสนอผ่าน
กมธ.แล้ว สวนทางกับทิศทางที่รัฐบาลกำลังทำอย่างชัดแจ้ง
ปัญหาคือจะหาจุดลงตัวได้หรือไม่
อย่างไร หรือรัฐบาลกับสภาก็ยังจะเป็นอีก 2 องคาพยพที่ต่างฝ่ายต่างทำกันต่อไป...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น