จับท่าที
“ผู้นำมาเลย์” เพิ่มบทบาทตัวกลางดับไฟใต้
ผ่านไปแล้วสำหรับการเดินทางเยือนประเทศไทยเป็นครั้งแรก
ของนายกรัฐมนตรีมาเลเซียคนใหม่ นายอันวาร์ อิบราฮิม บรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่น
โดย นายกฯ อันวาร์ ได้เข้าพบทั้ง “บิ๊กตู่” และ “บิ๊กป้อม”
สองผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐบาลปัจจุบัน
โดยในฟากของ
“บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี นั้น
เคยรู้จักและสนิทสนมกับนายกฯ อันวาร์ มาก่อนด้วย ไฮไลต์ที่ทุกคนเงี่ยหูฟัง
นอกเหนือจากความร่วมมือในการพัฒนาด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ
ก็คือความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย เพราะต้องยอมรับว่าปัญหานี้จะจบลงไม่ได้เลย
หากมาเลเซียซึ่งมีดินแดนติดต่อกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ให้ความร่วมมือ และยาหอมที่ถูกโปรยจากนายกฯ
อันวาร์ ก็คือ ปฏิเสธความรุนแรง
และพร้อมจะจบปัญหาชายแดนใต้ของไทยให้เร็วที่สุดซึ่งปัจจุบันมาเลเซียเองก็มีบทบาทเป็น
“ผู้อำนวยความสะดวก” ในกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้
ที่มีตัวแทนรัฐบาลไทย นำโดย พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ
อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พูดคุยหาทางยุติความขัดแย้งกับกลุ่มบีอาร์เอ็น
ซึ่งเป็นกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐกลุ่มใหญ่ที่สุด
และมีบทบาทสูงสุดในสถานการณ์ความไม่สงบตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา
แต่นักวิชาการที่เกาะติดสถานการณ์ชายแดนใต้
และเชี่ยวชาญประเทศมาเลเซีย มองว่า ท่าทีของนายกฯอันวาร์ น่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง และสะท้อนว่าผู้นำมาเลย์
ต้องการมีบทบาทในการจัดการปัญหานี้ โดยแสดงตัวเป็น “คนกลาง”
ที่ไม่ได้ยืนข้างทั้งรัฐบาลไทยและกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ
พูดกำกวม
รักษาดุล “รัฐไทย-ผู้เห็นต่างฯ”
ผศ.ดร.ชัยวัฒน์
มีสันฐาน ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ขีดเส้นใต้คำพูดของ นายกฯ อันวาร์ ที่เน้นย้ำเรื่องปฏิเสธความรุนแรง
และพร้อมร่วมพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยไปพร้อมๆ กับมาเลเซีย
“อันวาร์ฯ เองมองเกมค่อนข้างจะขาด เพราะความร่วมมือตรงนี้
เป็นคำพูดที่ถ้าเราตีความหมายกันจริงๆ ก็กำกวมพอสมควร
เพราะความรุนแรงไม่ได้ถูกระบุว่าเป็นความรุนแรงมาจากฝ่ายใด จากฝ่ายผู้ก่อเหตุเอง
หรือความรุนแรงที่มาจากรัฐไทย”
“การพูดแบบนี้ ผมมองว่า อันวาร์ฯ ต้องการมีพื้นที่
ไม่ใช่แต่เฉพาะฝั่งรัฐไทยเท่านั้น
แต่ต้องการจะให้ความร่วมมือหรือพยายามที่จะขยับขึ้น ไปมีบทบาทในมุมของกลุ่มผู้เห็นต่างกับรัฐด้วยเช่นกัน
เพราะถ้าไม่พูดอย่างนี้ หรือว่าถ้าเราตีความหมายของ อันวาร์ ว่าช่วยรัฐอย่างเดียว
หรือจะสนับสนุนรัฐไทย นั่นหมายความว่าอันวาร์จะอยู่ตรงข้ามกับผู้ก่อเหตุทันที
หรือถ้าบอกอยู่ฝั่งผู้ก่อเหตุ ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย ก็จะอยู่ตรงข้ามกับรัฐไทย“
“คำพูดของอันวาร์ฯ เป็นคำพูดที่ทำให้เขามีพื้นที่ที่จะไปเจรจากับสองฝ่าย
ไม่ปฏิเสธฝั่งไทยเช่นเดียวกันไม่ปฏิเสธผู้ก่อเหตุที่อาศัยอยู่ในมาเลเซียด้วยเช่นกัน
เพราะว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่ อันวาร์ฯ
จะแก้ปัญหาโดยไม่ได้รับความร่วมมือจากคนกลุ่มนั้น
และการพูดเช่นนี้เป็นการรักษาพื้นที่กับผู้ก่อเหตุด้วย
เพราะความรุนแรงไม่ได้มีความรุนแรงจากฝั่งนั้นอย่างเดียว
เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความรุนแรงเกิดขึ้นจากรัฐเราเองที่ใช้ในการแก้ปัญหาด้วยเช่นกัน”
มอง “อันวาร์”
ผู้นำที่เข้าใจบริบทไฟใต้
จากท่าทีและคำพูดของนายกฯ
อันวาร์ อาจารย์ชัยวัฒน์
มองเป็นภาพสะท้อนของความเข้าใจต่อบริบทปัญหาไฟใต้ไม่น้อยทีเดียว “เราปฏิเสธไม่ได้ว่าอันวาร์ฯ
มีความเข้าใจบริบทการแก้ปัญหา แต่เราไม่สามารถที่จะหันมาทางอันวาร์ฯ ได้โดยตรงทั้งหมด
เราต้องไม่ลืมว่าอันวาร์ฯ เองยังมีปัญหาภายในประเทศที่ยังต้องแก้ไข” และ“ผมมองว่าความร่วมมือเป็นสิ่งสำคัญมาก ต่อให้อันวาร์ร่วมมือเท่าไหร่
แต่กลุ่มผู้ก่อเหตุ ไม่ได้มีแค่กลุ่มเดียว ไม่ได้มีแค่บีอาร์เอ็นอย่างเดียว
ยังมีกลุ่มอื่นๆ อีก การที่จะทำให้ทุกฝ่ายยอมรับข้อตกลง จึงต้องใช้เวลา”
แนะอย่ามองปัญหาเฉพาะมุมความมั่นคง
อ.ชัยวัฒน์
ยังเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
ด้วยการแยกเรื่องความขัดแย้งออกจากผลประโยชน์ในมิติอื่นๆ
เพื่อไม่ให้ปัญหาถูกขีดกรอบเป็นประเด็นความมั่นคงแต่เพียงด้านเดียว “เราต้องเอาเรื่องผลประโยชน์มิติอื่นๆ
ออกจากความขัดแย้งในเรื่องปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
แล้วไม่มองว่าปัญหาเป็นมิติความมั่นคงอย่างเดียว เพราะว่ามันมีความซับซ้อนของปัญหา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาเสพติด การค้ามนุษย์ ของเถื่อน ปัญหาน้ำมันเถื่อน เต็มไปหมดเลย
ถ้าแยกปัญหาพวกนั้นออกจากความมั่นคงไม่ได้
เราก็จะแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยแนวคิดความมั่นคง” และ“ปัญหาบางอย่างแก้มิติความมั่นคงไม่ได้
มันต้องแก้ด้วยความเข้าใจในมิติอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาวัฒนธรรม
ความขัดแย้งประวัติศาตร์บาดแผล ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ก่อเหตุเองใช้สิ่งเหล่านี้เป็นแรงผลักดันในการสร้างพลังในการต่อสู้กับรัฐไทยด้วย”
ทำนายไฟใต้ไม่ดับยุค
“อันวาร์ อิบราฮิม”
แม้ผู้นำมาเลเซียรายนี้จะเข้าใจปัญหาไฟใต้มากที่สุดคนหนึ่ง
แต่ อ.ชัยวัฒน์ ก็เชื่อว่าปัญหาจะไม่จบลงในยุคของนายกฯ อันวาร์ “ผมเชื่อว่าไม่สามารถแก้ปัญหาได้ในยุค
นายกฯ อันวาร์ แน่ๆ เนื่องจากปัญหาสั่งสมมาเป็นร้อยสองร้อยปี มันยาวนานมาก
มีขึ้นมีลง สิ่งจำเป็นมากๆ คือการรักษาความต่อเนื่องของการเจรจา
แม้รัฐบาลจะเปลี่ยนแปลงก็ตาม นายกฯอันวาร์เป็นความหวัง
บนพื้นฐานของการเริ่มต้นบนความเข้าใจฝั่งมาเลเซียด้วยส่วนหนึ่ง” และ“ผมคิดว่าต้องตกลงกันให้ได้ก่อนที่จะกลับมาดูว่า
วิธีการไหนที่เป็นวิธีการที่ประชาชนต้องการ ที่สำคัญต้องเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการ
ไม่ใช่กลุ่มผู้ก่อเหตุต้องการ ถ้าเราทำให้ประชาชนแล้วไม่ถูกใจกลุ่มที่สั่งการอยู่
คำถามคือจะเกิดอะไรขึ้น เรามองปัญหาพวกนี้แบบหยาบๆ เอาอันนั้นมาใส่แล้วจะทำได้
หรือไม่ได้ มีส่วนเกี่ยวข้องหลายกลุ่ม มันยาก ต้องแก้ที่ละอย่าง
ดึงปัญหาที่ไม่เกี่ยวข้องออก ดูว่าเนื้อของปัญหาคืออะไร แล้วตกลงกันให้ได้
ถึงจะมาพูดเรื่องการปกครอง
เพราะสุดท้ายแล้วถ้าเราเปลี่ยนการปกครองขนาดไหนก็ไม่มีประโยชน์
ถ้าเราไม่สามารถเจรจากับผู้ก่อเหตุได้ เหตุการณ์ก็เกิดขึ้นอยู่ดี”
ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุ
“บิ๊กป้อม”
ถก “อันวาร์” ชื่นมื่น จับมือดับไฟใต้
สำหรับบรรยากาศการพบปะกันระหว่างนายกฯอันวาร์
กับผู้นำไทย และผู้ใหญ่ในรัฐบาลกันก่อน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี
ได้ให้การต้อนรับและหารือร่วมกับ นายอันวาร์ อิบราฮิม ที่โรงแรมเชอราตัน ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนที่แนบแน่นกันมาก่อน
ส่งผลให้บรรยากาศการพูดคุยดำเนินไปอย่างเป็นกันเอง และมีความจริงใจต่อกัน
โดยเฉพาะประเด็นด้านความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ต่างเห็นพ้องร่วมกันว่าต้องทำให้เกิดความสงบ
ไม่มีความรุนแรงและเปิดพื้นที่พัฒนาร่วมกัน
เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งสองประเทศ
วิธีการคือจะให้ความสำคัญกับการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน
โดยมุ่งมิติทางสังคม วัฒนธรรม และชุมชน ควบคู่ไปกับความมั่นคง
ซึ่งจะมีการประสานการทำงานร่วมกันอย่างแน่นแฟ้นมากขึ้น
ทั้งหน่วยงานความมั่นคงและหน่วยงานด้านการข่าว โดยทางมาเลเซียถือว่าปัญหานี้เป็นปัญหาภายในของไทย
แต่พร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ และถือเป็นสัญญาณที่ดี
หลังมีการเปลี่ยนตัวผู้อำนวยความสะดวกการพูดคุยเพื่อสันติสุข (facilitator) ของมาเลเซียแล้ว ซึ่ง นายอันวาร์ เชื่อมั่นว่า ภายใต้การนำของ
พล.อ.ประวิตร จะสามารถการแก้ปัญหาความไม่สงบ
และความรุนแรงที่มีอยู่ให้บรรลุเป้าหมายร่วมกันได้ในที่สุด
“บิ๊กตู่”
จัดพิธีต้อนรับนายกฯ มาเลย์ สมเกียรติ
ก่อนหน้านั้น
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
พร้อมด้วยนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา ให้การต้อนรับ นายอันวาร์ อิบราฮิม
นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และภริยา
ในการเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาลไทย ระหว่างวันที่ 9-10 ก.พ.66 ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่
ซึ่งเป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติของประเทศสมาชิกอาเซียน
โดยมีพิธีต้อนรับตรวจแถวกองทหารเกียรติยศด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้า
ก่อนที่นายกรัฐมนตรีมาเลเซียจะลงนามในสมุดเยี่ยม และ
เดินชมของที่ระลึกภายในห้องสีงาช้าง
จากนั้นผู้นำไทยและมาเลเซียได้หารือทวิภาคี
ที่ตึกภักดีบดินทร์ เกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย
โดยเฉพาะ 5 จังหวัดภาคใต้ของไทย กับ 4
รัฐทางตอนเหนือของมาเลเซีย การเชื่อมโยงการค้า การลงทุน และด้านคมนาคมขนส่ง
รวมทั้งส่งเสริมอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพระหว่างกัน เช่น อุตสาหกรรมยางพารา
อาหารฮาลาล พลังงาน และในมิติใหม่ ๆ อาทิ เศรษฐกิจดิจิทัล และเทคโนโลยีสีเขียว
ลงนามความร่วมมือแลกเปลี่ยนความตกลง
4 ฉบับ
โอกาสนี้
นายกรัฐมนตรีทั้งสองประเทศ ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามแลกเปลี่ยนความตกลง 4
ฉบับ ได้แก่
1.บันทึกความเข้าใจในการจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของข้อเสนอในการเสริมสร้างศักยภาพการเชื่อมต่อโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าระหว่างคาบสมุทรมาเลเซียและไทย
2.บันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับข้อเสนอในการร่วมมือสำรวจศักยภาพของเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนและการผลิตพลังงานในประเทศไทย
3.บันทึกความตกลงเกี่ยวกับข้อเสนอในการแสวงหาโอกาสในการทำงานร่วมกัน
การมีส่วนร่วม และการพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
4.บันทึกความเข้าใจระหว่าง Malaysia
Digital Economy Corporation SDN. BHD. (MDEC )และ
สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ depa และ
แถลงข่าวร่วมกัน ณ ตึกสันติไมตรี
ผู้นำมาเลย์เชิญ
“บิ๊กตู่” ไปเยือน - นายกฯบอกต้องรอเป็นปี
พล.อ.ประยุทธ์
กล่าวว่า เราเป็นเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกันมากที่สุด ดินแดนเราใกล้กัน
หากเราแข็งแรงทั้งคู่ มีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน
การอยู่ร่วมกันก็สามารถเป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการ
ขณะที่สถานการณ์ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็มีการร่วมมือในการแก้ไขปัญหาให้ดีที่สุด
หวังว่าการพบปะกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในวันนี้
จะเป็นการเริ่มต้นและกรุยทางให้มีการพบปะหารือระหว่างไทยกับมาเลเซียในทุกระดับให้มากยิ่งขึ้นอย่างใกล้ชิด
ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ แก้ไขในสิ่งที่เป็นอุปสรรค
และทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนทั้งสองฝ่ายให้ก้าวหน้าไปด้วยกันอย่างยั่งยืน
ด้านนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย
ได้กล่าวเชิญนายกรัฐมนตรีไทยไปเยือนมาเลเซีย แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบกลับว่า
“ต้องรอเป็นปีถึงจะได้ไปเยือน” ทำให้นายอันวาร์ ตอบกลับว่า ไม่ต้องรอ มันไกลเกินไป
เป็นเดือนเป็นปี ถ้ามีโอกาสมาได้ เพราะผมก็มาทุกปีอยู่แล้ว
แม้แต่ช่วงโควิดก็เดินทางเข้ามา”
คำตอบของนายกฯ
อันวาร์ ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ถึงกับยิ้มกว้าง พร้อมกับกล่าวว่า “ไทยกับมาเลเซียเปรียบเป็นแผ่นดินทองและเป็นครอบครัวเดียวกัน”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น