วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2566

มาเลเซียกับความสำเร็จในการบริหารจัดการพหุสังคมและวัฒนธรรม : บทเรียนต่อจังหวัดชายแดนภาคใต้

มาเลเซียกับความสำเร็จในการบริหารจัดการพหุสังคมและวัฒนธรรม : บทเรียนต่อจังหวัดชายแดนภาคใต้

มาเลเซียสถาปนาเป็นรัฐเอกราชจากอังกฤษเมื่อปี 1957 ปัจจุบันเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จ ในการพัฒนาทางเศรษฐกิจจนก้าวขึ้น เป็นหนึ่ง ในประเทศกำลังพัฒนา ที่พร้อมจะเป็นประเทศพัฒนาในอนาคตอันใกล้

การที่มาเลเซียกลายเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จ ดังเช่นทุกวันนี้ ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ คือ การบริหารและจัดการความแตกต่างทางชาติพันธุ์ภายในประเทศ ซึ่งประกอบด้วย ชาวมาเลย์ ชาวจีน ชาวอินเดีย อย่างมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จ หลังจากเหตุการณ์จลาจลทางเชื้อชาติ และนำไปสู่การบาดเจ็บและล้มตายของคนในชาติ เป็นจำนวนมาก เมื่อปี 1969

ดังนั้นมาเลเซีย จึงตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในชาติ ซึ่งมีเชื้อชาติที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนนโยบายสาธารณะทั้งทางเศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรม ให้มีความเท่าเทียม และลดช่องว่างระหว่างเชื้อชาติต่างๆ จนสามารถลดความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์ที่เกิดขึ้น และกลายเป็นพลังสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของมาเลเซียให้เติบโตจนถึงปัจจุบัน

ขณะเดียวกันลักษณะโครงสร้างทางการเมือง แนวนโยบายของท้องถิ่นโดยเฉพาะในรัฐกลันตัน ซึ่งมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์สูง พรรคการเมืองท้องถิ่นได้นำแนวทางเชิงศาสนามาปรับใช้เพื่อการอยู่ร่วมกันของชาติพันธุ์ต่างๆ ได้อย่างประสบความสำเร็จ

            บทความ ฉบับนี้นำเสนอปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้มาเลเซียประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการความแตกต่างหลากหลายด้านชาติพันธุ์ ในประเทศและเสนอแนะเชิงนโยบาย ซึ่งจะเป็นแนวทางให้กับไทยในกรณีการบริหารจัดการความแตกต่างทางชาติพันธุ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

ความสำเร็จของมาเลเซียเชิงการบริหารจัดการพหุสังคมและวัฒนธรรม

ความสำเร็จของมาเลเซีย ในการจัดการความแตกต่างหลากหลายทางชาติพันธุ์และสังคมวัฒนธรรมมิได้เกิดขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น ก่อนที่กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในมาเลเซียจะสามารถอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุขเช่นทุกวันนี้ มาเลเซียผ่านประสบการณ์ที่ขัดแย้งรุนแรงในทศวรรษที่ 1960 จนนำมาสู่การปรับเปลี่ยนเชิงนโยบาย ก่อนที่จะเกิดความสำนึกการเป็นพลเมืองมาเลย์ร่วมกัน ปัจจัยแห่งความสำเร็จในการบริหารจัดการ ประกอบด้วย

1.ความอยู่รอดของประเทศ

ความแตกต่างด้านชาติพันธุ์ในมาเลเซียเป็นเรื่องที่มีความสำคัญสูงสุดและมีนัยยะด้านความมั่นคงแห่งชาติ เนื่องจากเป็นผลประโยชน์แห่งชาติลำดับแรก (National Interest) ซึ่งคือ ความอยู่รอด (Survival) หากปราศจากคุณค่านี้ ความเป็นรัฐก็มิอาจดำรงอยู่ได้

มาเลเซียประกอบด้วยเชื้อชาติหลักคือ ชาวมาเลย์ จีนและอินเดีย ซึ่งการอยู่ร่วมกันดังกล่าวเกิดขึ้นภายใต้นโยบายการปกครองของเจ้าอาณานิคมอังกฤษ โดยให้ชาวมาเลย์มีส่วนในการปกครองทางการเมือง ชาวจีนร่วมมือกับอังกฤษในการประกอบธุรกิจ การค้าการลงทุนและสะสมทุนให้กับเจ้าอาณานิคม และชาวอินเดียเข้ามาในฐานะแรงงานหนักในโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่อังกฤษนำเข้ามา ซึ่งระหว่างที่อังกฤษปกครองมาเลเซียก่อนที่จะประกาศเอกราชเมื่อปี 1957 อังกฤษยังสามารถรักษาความสมดุลในการปกครองอยู่ได้ แม้จะเริ่มมีความขัดแย้งทางเชื้อชาติและช่องว่างทางเศรษฐกิจและสังคมที่เพิ่มขึ้น ภายหลังได้รับเอกราชปัญหาเชื้อชาติที่ได้ก่อตัว

ก่อนหน้านี้ได้ปะทุขึ้นและนำมาสู่การจลาจลและความรุนแรงทางชาติพันธุ์ขึ้นเมื่อปี 1969 ซึ่งก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมและความสูญเสียของคนในชาติอย่างใหญ่หลวง ดังนั้นเอง ความอยู่รอดของประเทศมาเลเซีย จึงขึ้นอยู่กับชาติพันธุ์ และคำถามที่ว่าจะทำอย่างไร ให้มาเลเซียสามารถหลอมรวมความแตกต่างหลากหลายทางชาติพันธุ์ สังคมและวัฒนธรรมให้ดำรงอยู่ และสร้างความเป็นรัฐที่เข้มแข้งขึ้นมาได้ รัฐที่เพิ่งสร้างอย่างมาเลเซียในสมัยนั้น จึงต้องหาทางออกและสิ่งที่เปลี่ยนแปลงในขณะนั้นคือ การสร้างนโยบายสาธารณะเป็นครั้งแรก

2.นโยบายสาธารณะที่เป็นเจตจำนงทางการเมือง

อาจกล่าวได้ว่านโยบายสาธารณะที่เป็นเจตจำนงทางการเมือง เพื่อจัดการกับความแตกต่างหลากหลายของชาติพันธุ์ ที่ประกาศใช้เป็นครั้งแรก คือ นโยบายทางเศรษฐกิจใหม่ (New Economic Policy: NEP) โดยตนกู อับดุล ราซัค (Tunku Abdul Razak) นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เมื่อปี 1970 หรือหลังจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ สมมติฐานของการเกิดนโยบายดังกล่าวนี้ ก็เพื่อต้องการลดความเหลื่อมล้ำและช่องว่างทางเศรษฐกิจระหว่างกลุ่มเชื้อชาติต่างๆ โดยเฉพาะชาวมาเลย์ ที่ถือว่าเป็นเจ้าของดินแดน (Phumibutra) และชาวจีนซึ่งครอบครองกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะการให้สิทธิพิเศษแก่ชาวมลายูในฐานะที่เป็น “ภูมิบุตร” มากกว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ เช่น การออกนโยบายให้โควตาทางการศึกษา การออกกฎหมายให้เงินกู้เพื่อการลงทุน การกำหนดสัดส่วนหุ้นส่วนการเป็นเจ้าของธุรกิจ

ซึ่งหวังผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทางเศรษฐกิจ ลดความแตกต่างและความเหลื่อมล้ำทางฐานะและลดช่องว่างทางสังคมซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายและกระบวนการที่รัฐบาลใช้เพื่อจัดระบบความสัมพันธ์ทางเชื้อชาติ ในขณะเดียวกัน ก็พยายามที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าโดยตรงกับกลุ่มผู้สูญเสียผลประโยชน์  โดยเฉพาะกลุ่มนายทุนจีนซึ่งภายหลังคนจีนก็สามารถปรับตัวและประสานผลประโยชน์เข้ากันได้กับกฎเกณฑ์และเงื่อนไขใหม่ของสังคม

3. โครงสร้างทางการเมืองการปกครองของมาเลเซีย

โครงสร้างทางการเมืองการปกครองเป็นปัจจัยที่สำคัญที่เอื้อให้การบริหารความแตกต่างด้านเชื้อชาติวัฒนธรรมเป็นไปด้วยความราบรื่นและสำเร็จ จะพบว่ามาเลเซียปกครองด้วยระบบสหพันธรัฐ (Federation) ซึ่งให้อำนาจกับรัฐบาลท้องถิ่นของแต่ละรัฐได้ปกครองกันเอง ยกเว้นอำนาจทางการทหาร การต่างประเทศและเศรษฐกิจการคลัง ทำให้การบริหารภายในแต่ละพื้นที่มีความยืดหยุ่น เหมาะสมกับสภาพสังคมและวัฒนธรรมของแต่ละแห่ง โดยมิต้องรอการสั่งการจากรัฐบาลกลางซึ่งอาจมีความล่าช้าและไม่ทันการณ์ ขณะที่นโยบายทางสังคมและวัฒนธรรมในท้องถิ่นนั้นๆ รัฐบาลท้องถิ่นสามารถดำเนินการได้เอง

เนื่องจากการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะมุขมนตรีซึ่งต้องได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนในพื้นที่ ทำให้ต้องมีการสร้างความนิยมกับประชาชน จึงทำให้นักการเมืองท้องถิ่นต้องพัฒนานโยบายให้เป็นที่ยอมรับได้ เพื่อที่จะได้รับเลือกตั้งเข้ามาบริหารท้องถิ่นในสมัยหน้า ขณะเดียวกันโครงสร้างการเมืองระดับชาติ ได้ถูกปกครองโดยพรรค Barisan Nasional ซึ่งปกครองมาเลเซียมาตั้งแต่ปี 1973 ซึ่งเป็นกลุ่มพรรคการเมืองหลายพรรคซึ่งประกอบพรรคการเมืองของชาวมาเลย์ จีน และอินเดีย โดยมีเป้าหมายในการมีจุดร่วมกันทางเชื้อชาติและศาสนาอย่างสงบสุข ทำให้พรรคการเมืองดังกล่าวผูกขาดการปกครองของประเทศนับตั้งแต่นั้นมา และสร้างแนวทางเชิงนโยบายทางสังคมและวัฒนธรรมที่ต่อเนื่อง

4.นโยบายและการบริหารจัดการของรัฐท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสำเร็จของมาเลเซียในการจัดการกับปัญหาชาติพันธุ์ในประเทศมิได้ขึ้นอยู่กับนโยบายทางการเมืองใหญ่แต่เพียงอย่างเดียว การดำเนินการที่เป็นระบบและเป็นรูปธรรมของรัฐท้องถิ่นในการบริหารจัดการความแตกต่างหลากหลายดังกล่าวก็มีส่วนทำให้ชาติพันธุ์ต่างๆสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข โดยเฉพาะในรัฐปีนัง และกลันตัน

ซึ่งมีการบริหารด้วยผู้นำท้องถิ่นพรรค PAS ที่เน้นแนวทางศาสนาอิสลามและปรับใช้หลักการศาสนาเพื่อดูแลความแตกต่างด้านชาติพันธุ์ จะพบว่าในรัฐปีนัง จุดเด่นของนโยบายอยู่ที่การที่รัฐท้องถิ่นได้ดำเนินนโยบายสอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจระดับชาติในการประสานผลประโยชน์ในท้องถิ่น โดยเฉพาะการกระจายรายได้ กลุ่มชนชั้นนำของสังคมประสานผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจผ่านการลงทุนร่วมกันในกิจกรรมทางเศรษฐกิจรูปแบบต่าง ๆ เช่น การจัดตั้งบริษัท  การลงทุนในโครงการอุตสาหกรรมขนาดย่อมและขนาดกลาง รวมถึงการจัดสรรอำนาจการเมืองท้องถิ่นอย่างสมดุล ทำให้ลดความรู้สึกไม่เท่าเทียมกันระหว่างชาวจีน มาเลย์และอินเดียได้ ในรัฐกลันตัน จุดเด่นของการบริหารจัดการอยู่ที่พรรค PAS สามารถดำเนินนโยบายให้กลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่รู้สึกผ่อนคลายและสามารถแสดงอัตลักษณ์ของตนเองได้ในเวทีสาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การไม่บังคับทางศาสนา ไม่อนุญาตให้เกิดการปะปนกันทางศาสนาและส่งเสริมประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของทุกกลุ่มชาติพันธุ์ การดำเนินการที่ผ่านมาของรัฐบาลสร้างความมั่นใจให้กับทุกกลุ่มชาติพันธุ์ และทำให้เกิดการนำเสนอประเพณีและวัฒนธรรมของกลุ่มสู่สาธารณะ กลวิธีสำคัญที่ใช้คือ การเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ โดยผู้บริหารระดับสูงของรัฐ การสนับสนุนงบประมาณ การเป็นสื่อกลางนำเสนอประเพณีและวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์สู่ภายในรัฐในโอกาสต่างๆ

5.การสร้างจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองของรัฐร่วมกัน

มาเลเซียประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่งต่อการสร้างชาติในระยะเวลาอันสั้น ในขณะที่หลายประเทศเกิดใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งตกอยู่ภายใต้การปกครองจากจักรวรรดินิยม ต้องประสบกับปัญหาการจัดการความแตกต่างด้านเชื้อชาติและสังคมวัฒนธรรม และช่องว่างทางเศรษฐกิจ แต่มาเลเซียแม้มีปัญหาแต่สามารถแก้ไขและปรับตัวได้ในเวลาเพียงหนึ่งทศวรรษ ปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งคือการหลอมรวมความรู้สึกเป็นเจ้าของประเทศ เป็นพลเมืองของประเทศ การมีสำนึกร่วมทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมร่วมกัน ตัวอย่างที่ชัดเจนในการสร้างจิตสำนึกแห่งความเป็นพลเมืองประเทศร่วมกัน คือ การสร้างจิตสำนึกในรัฐเคดาห์ ผ่านการเชิดชูสถาบันผู้นำ สร้างประวัติศาสตร์พื้นที่ร่วมกันด้วยเครื่องมือที่สำคัญคือการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจทางสังคมอย่างทั่วถึง     โดยเฉพาะเรื่องการศึกษาที่สามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการหางานและพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างให้ดีขึ้น

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อการบริหารจัดการชาติพันธุ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้

1.การกระจายอำนาจการปกครองให้กับจังหวัดชายแดนภาคใต้มากขึ้น แม้ว่ารูปแบบการปกครองของไทยจะเป็นรัฐเดี่ยวที่ไม่สามารถแบ่งแยกอำนาจให้กับเขตต่างๆได้ มีลักษณะรวมศูนย์อำนาจจากส่วนกลาง และแม้จะมีการกระจายอำนาจภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ.2540 แต่ในทางปฏิบัติอำนาจการปกครองและการบริหารยังคงอยู่ภายใต้ส่วนกลางเป็นหลัก และภายหลังการรัฐประหารเมื่อปี 2549 การกระจายอำนาจไปยังท้องถิ่นมีแนวโน้มหยุดชะงัก เนื่องจากปัญหาทางการเมืองภายใน

อย่างไรก็ตามการแก้ไขปัญหาด้านชาติพันธุ์ศาสนาและวัฒนธรรมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวมาเลย์ที่นับถือศาสนาอิสลามไม่มีความคืบหน้า และยังคงเน้นการแก้ปัญหาโดยการตัดสินใจรวมศูนย์ในกรุงเทพฯ โดยยึดการแก้ปัญหาที่ใช้เครื่องมือทางทหารเป็นหลัก แม้ว่าจะมีการเรียกร้องเพื่อการปกครองตนเองด้วยชื่อต่างๆ เช่น เขตปกครองพิเศษหรือพื้นที่พิเศษ มาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960 จนถึงข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) ที่เสนอทางออกในการแก้ไขปัญหาให้พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้สมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างไรก็ตามแนวคิดดังกล่าวกลับไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด ดังนั้น ด้วยลักษณะพิเศษในพื้นที่ดังกล่าว รัฐบาลควรศึกษาและทดลองการให้อำนาจปกครองตนเองในรูปแบบการปกครองพิเศษก่อน เพื่อประเมินก่อนที่จะตัดสินใจในระยะยาวในเชิงนโยบายต่อไป

2.สร้างความเข้าใจทางประวัติศาสตร์ในพื้นที่ให้เป็นยอมรับและเข้าใจร่วมกันของประชาชนในพื้นที่ ปัญหาที่เรื้อรังอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และส่งผลให้ความรุนแรงยังคงดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง ปัจจัยสำคัญคือ การสร้างความเข้าใจและบิดเบือนทางประวัติศาสตร์ให้กับเด็กและเยาวชนในพื้นที่ ทำให้การรับรู้ที่ส่งผลต่อความเข้าใจประวัติศาสตร์ในพื้นที่คลาดเคลื่อน และไม่สามารถสร้างความรู้สึกในการเป็นพลเมืองของรัฐไทยได้ นอกจากนี้ การศึกษาทางประวัติศาสตร์ของประชาชนในพื้นที่มักเป็นการสื่อสารทางเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากครูสอนศาสนาในโรงเรียนเอกชนอิสลามในพื้นที่ ซึ่งปราศจากการตรวจสอบคุณภาพและความถูกต้อง รวมถึงวิถีชีวิตของคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ที่มีความใกล้ชิดกับผู้นำศาสนาในชุมชน ทำให้การรับรู้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐไทยกับปัตตานีมีความคลาดเคลื่อนสูง ดังนั้น การดำเนินการเพื่อเสริมสร้างชุดความเข้าใจประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ จะเป็นการลดความเข้าใจผิด และลดความเสี่ยงในการเพาะสร้างความเกลียดชังต่อรัฐไทย

3.ปรับเปลี่ยนแนวนโยบายในการผสมกลมกลืนให้เป็นไทยโดยละเลยความแตกต่างทางชาติพันธุ์ สังคมและวัฒนธรรม แนวคิดหลักของรัฐไทยในการสร้างชาติ (Nation building) ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ที่เน้นการผสมกลมกลืนให้เกิดความเป็นไทย (Assimilation/Integration approach) ได้ดำเนินมาหลายยุคสมัยจนถึงปัจจุบัน โดยแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงแนวคิดหลักในการบริหารชาติพันธุ์ในแนวทางอื่น โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งปฏิเสธแนวทางของรัฐไทยที่เน้นหลักการสำคัญคือ ชาติ ศาสนา(พุทธ) และสถาบันในการสร้างชาติแนวทางผสมกลมกลืน ซึ่งทำให้เกิดการละเลยความแตกต่างทางชาติพันธุ์ สังคมวัฒนธรรมและศาสนา โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวมาเลย์ที่นับถือศาสนาอิสลาม

ซึ่งมีความแตกต่างในวิถีชีวิต ความเชื่อ ความเป็นอยู่ รวมทั้งภาษาวัฒนธรรม เมื่อชาวมาเลย์มุสลิมถูกบังคับให้ต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางเชิงนโยบายที่เน้นการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมความเป็นไทย ทำให้การต่อต้านจากชาวมาเลย์มุสลิมในพื้นที่เป็นสิ่งที่เห็นได้โดยทั่วไปในอดีตจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นการปรับเปลี่ยนแนวทางเชิงนโยบายจากการเน้นการผสมกลมกลืนไปสู่ทางเลือกอื่นๆ ที่หลากหลายขึ้น เช่น การมีตัวกลางในการเจรจา การให้สิทธิในการปกครองตนเองบางส่วน หรือการแบ่งสรรอำนาจในการปกครอง เป็นต้น

4.ยอมรับความแตกต่างหลากหลายเชิงชาติพันธุ์ สังคมและวัฒนธรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การเปิดใจยอมรับความแตกต่างและหลากหลายด้านเชื้อชาติและสังคมวัฒนธรรมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่เฉพาะรัฐบาล แต่สังคมไทยโดยรวมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะนำมาสู่การเข้าใจและสาเหตุแห่งความแตกต่าง เพื่อหาวิธีการที่จะอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข เนื่องจากอคติของการที่ไม่เป็นเหมือนกับคนส่วนใหญ่ เช่น ภาษา การแต่งกาย ศาสนา ความเชื่อ ศิลปวัฒนธรรมและแนวทางในการดำรงชีวิต หากปราศจากการรับรู้และเข้าใจในอัตลักษณ์เฉพาะอย่าง ก็มีแนวโน้มที่จะหวาดระแวงกลัวว่าต่างฝ่ายจะทำลายความเป็นตัวตนของวัฒนธรรมหนึ่งในวัฒนธรรมที่ซ้อนทับกัน ในกรณีที่ความไม่สบายใจ และหวาดระแวงในการแสดงออกของอัตลักษณ์อาจพัฒนาไปสู่ความขัดแย้งด้วยการใช้กำลัง ซึ่งต่างฝ่ายต่างไม่สามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้ภายใต้สภาวะที่มีความแตกต่างหลากหลาย ซึ่งในท้ายที่สุดอาจนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพของรัฐในการปกครอง และประกันความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของปัจเจกชน

ซึ่งทุกวันนี้สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เริ่มมีความหวาดระแวงระหว่างคนไทยที่นับถือศาสนาที่ต่างกัน เนื่องมาจากความรุนแรงในพื้นที่ ทำให้สถานการณ์ในพื้นที่มีความยากลำบาก อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลในฐานะผู้กำหนดนโยบายในการดูแลกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยอมรับความแตกต่างและกำหนดรูปแบบวิธีการที่เหมาะสมในการมีปฏิสัมพันธ์กับพื้นที่ เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในมาเลเซีย ก็น่าจะมีแนวโน้มที่ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จะบรรเทาลงได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น