มาเลเซียกับความสำเร็จในการบริหารจัดการพหุสังคมและวัฒนธรรม
: บทเรียนต่อจังหวัดชายแดนภาคใต้
มาเลเซียสถาปนาเป็นรัฐเอกราชจากอังกฤษเมื่อปี
1957 ปัจจุบันเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จ ในการพัฒนาทางเศรษฐกิจจนก้าวขึ้น เป็นหนึ่ง
ในประเทศกำลังพัฒนา ที่พร้อมจะเป็นประเทศพัฒนาในอนาคตอันใกล้
การที่มาเลเซียกลายเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จ
ดังเช่นทุกวันนี้ ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ คือ การบริหารและจัดการความแตกต่างทางชาติพันธุ์ภายในประเทศ
ซึ่งประกอบด้วย ชาวมาเลย์ ชาวจีน ชาวอินเดีย
อย่างมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จ หลังจากเหตุการณ์จลาจลทางเชื้อชาติ และนำไปสู่การบาดเจ็บและล้มตายของคนในชาติ
เป็นจำนวนมาก เมื่อปี 1969
ดังนั้นมาเลเซีย
จึงตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในชาติ ซึ่งมีเชื้อชาติที่แตกต่างกัน
โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนนโยบายสาธารณะทั้งทางเศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรม ให้มีความเท่าเทียม
และลดช่องว่างระหว่างเชื้อชาติต่างๆ จนสามารถลดความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์ที่เกิดขึ้น
และกลายเป็นพลังสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของมาเลเซียให้เติบโตจนถึงปัจจุบัน
ขณะเดียวกันลักษณะโครงสร้างทางการเมือง
แนวนโยบายของท้องถิ่นโดยเฉพาะในรัฐกลันตัน ซึ่งมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์สูง
พรรคการเมืองท้องถิ่นได้นำแนวทางเชิงศาสนามาปรับใช้เพื่อการอยู่ร่วมกันของชาติพันธุ์ต่างๆ
ได้อย่างประสบความสำเร็จ
บทความ ฉบับนี้นำเสนอปัจจัยต่างๆ
ที่ทำให้มาเลเซียประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการความแตกต่างหลากหลายด้านชาติพันธุ์
ในประเทศและเสนอแนะเชิงนโยบาย ซึ่งจะเป็นแนวทางให้กับไทยในกรณีการบริหารจัดการความแตกต่างทางชาติพันธุ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ความสำเร็จของมาเลเซียเชิงการบริหารจัดการพหุสังคมและวัฒนธรรม
ความสำเร็จของมาเลเซีย
ในการจัดการความแตกต่างหลากหลายทางชาติพันธุ์และสังคมวัฒนธรรมมิได้เกิดขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้น
ก่อนที่กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในมาเลเซียจะสามารถอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุขเช่นทุกวันนี้
มาเลเซียผ่านประสบการณ์ที่ขัดแย้งรุนแรงในทศวรรษที่ 1960
จนนำมาสู่การปรับเปลี่ยนเชิงนโยบาย
ก่อนที่จะเกิดความสำนึกการเป็นพลเมืองมาเลย์ร่วมกัน ปัจจัยแห่งความสำเร็จในการบริหารจัดการ
ประกอบด้วย
1.ความอยู่รอดของประเทศ
ความแตกต่างด้านชาติพันธุ์ในมาเลเซียเป็นเรื่องที่มีความสำคัญสูงสุดและมีนัยยะด้านความมั่นคงแห่งชาติ
เนื่องจากเป็นผลประโยชน์แห่งชาติลำดับแรก (National Interest) ซึ่งคือ ความอยู่รอด (Survival) หากปราศจากคุณค่านี้
ความเป็นรัฐก็มิอาจดำรงอยู่ได้
มาเลเซียประกอบด้วยเชื้อชาติหลักคือ
ชาวมาเลย์ จีนและอินเดีย
ซึ่งการอยู่ร่วมกันดังกล่าวเกิดขึ้นภายใต้นโยบายการปกครองของเจ้าอาณานิคมอังกฤษ
โดยให้ชาวมาเลย์มีส่วนในการปกครองทางการเมือง ชาวจีนร่วมมือกับอังกฤษในการประกอบธุรกิจ
การค้าการลงทุนและสะสมทุนให้กับเจ้าอาณานิคม
และชาวอินเดียเข้ามาในฐานะแรงงานหนักในโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่อังกฤษนำเข้ามา
ซึ่งระหว่างที่อังกฤษปกครองมาเลเซียก่อนที่จะประกาศเอกราชเมื่อปี 1957
อังกฤษยังสามารถรักษาความสมดุลในการปกครองอยู่ได้ แม้จะเริ่มมีความขัดแย้งทางเชื้อชาติและช่องว่างทางเศรษฐกิจและสังคมที่เพิ่มขึ้น
ภายหลังได้รับเอกราชปัญหาเชื้อชาติที่ได้ก่อตัว
ก่อนหน้านี้ได้ปะทุขึ้นและนำมาสู่การจลาจลและความรุนแรงทางชาติพันธุ์ขึ้นเมื่อปี
1969 ซึ่งก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมและความสูญเสียของคนในชาติอย่างใหญ่หลวง ดังนั้นเอง
ความอยู่รอดของประเทศมาเลเซีย จึงขึ้นอยู่กับชาติพันธุ์ และคำถามที่ว่าจะทำอย่างไร
ให้มาเลเซียสามารถหลอมรวมความแตกต่างหลากหลายทางชาติพันธุ์
สังคมและวัฒนธรรมให้ดำรงอยู่ และสร้างความเป็นรัฐที่เข้มแข้งขึ้นมาได้
รัฐที่เพิ่งสร้างอย่างมาเลเซียในสมัยนั้น
จึงต้องหาทางออกและสิ่งที่เปลี่ยนแปลงในขณะนั้นคือ
การสร้างนโยบายสาธารณะเป็นครั้งแรก
2.นโยบายสาธารณะที่เป็นเจตจำนงทางการเมือง
อาจกล่าวได้ว่านโยบายสาธารณะที่เป็นเจตจำนงทางการเมือง
เพื่อจัดการกับความแตกต่างหลากหลายของชาติพันธุ์ ที่ประกาศใช้เป็นครั้งแรก คือ
นโยบายทางเศรษฐกิจใหม่ (New
Economic Policy: NEP) โดยตนกู อับดุล ราซัค (Tunku Abdul
Razak) นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เมื่อปี 1970
หรือหลังจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์
สมมติฐานของการเกิดนโยบายดังกล่าวนี้ ก็เพื่อต้องการลดความเหลื่อมล้ำและช่องว่างทางเศรษฐกิจระหว่างกลุ่มเชื้อชาติต่างๆ
โดยเฉพาะชาวมาเลย์ ที่ถือว่าเป็นเจ้าของดินแดน (Phumibutra) และชาวจีนซึ่งครอบครองกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นส่วนใหญ่
โดยเฉพาะการให้สิทธิพิเศษแก่ชาวมลายูในฐานะที่เป็น “ภูมิบุตร”
มากกว่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ เช่น การออกนโยบายให้โควตาทางการศึกษา
การออกกฎหมายให้เงินกู้เพื่อการลงทุน การกำหนดสัดส่วนหุ้นส่วนการเป็นเจ้าของธุรกิจ
ซึ่งหวังผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทางเศรษฐกิจ
ลดความแตกต่างและความเหลื่อมล้ำทางฐานะและลดช่องว่างทางสังคมซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายและกระบวนการที่รัฐบาลใช้เพื่อจัดระบบความสัมพันธ์ทางเชื้อชาติ
ในขณะเดียวกัน ก็พยายามที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าโดยตรงกับกลุ่มผู้สูญเสียผลประโยชน์
โดยเฉพาะกลุ่มนายทุนจีนซึ่งภายหลังคนจีนก็สามารถปรับตัวและประสานผลประโยชน์เข้ากันได้กับกฎเกณฑ์และเงื่อนไขใหม่ของสังคม
3.
โครงสร้างทางการเมืองการปกครองของมาเลเซีย
โครงสร้างทางการเมืองการปกครองเป็นปัจจัยที่สำคัญที่เอื้อให้การบริหารความแตกต่างด้านเชื้อชาติวัฒนธรรมเป็นไปด้วยความราบรื่นและสำเร็จ
จะพบว่ามาเลเซียปกครองด้วยระบบสหพันธรัฐ (Federation) ซึ่งให้อำนาจกับรัฐบาลท้องถิ่นของแต่ละรัฐได้ปกครองกันเอง
ยกเว้นอำนาจทางการทหาร การต่างประเทศและเศรษฐกิจการคลัง
ทำให้การบริหารภายในแต่ละพื้นที่มีความยืดหยุ่น
เหมาะสมกับสภาพสังคมและวัฒนธรรมของแต่ละแห่ง
โดยมิต้องรอการสั่งการจากรัฐบาลกลางซึ่งอาจมีความล่าช้าและไม่ทันการณ์ ขณะที่นโยบายทางสังคมและวัฒนธรรมในท้องถิ่นนั้นๆ
รัฐบาลท้องถิ่นสามารถดำเนินการได้เอง
เนื่องจากการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น
โดยเฉพาะมุขมนตรีซึ่งต้องได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนในพื้นที่
ทำให้ต้องมีการสร้างความนิยมกับประชาชน
จึงทำให้นักการเมืองท้องถิ่นต้องพัฒนานโยบายให้เป็นที่ยอมรับได้
เพื่อที่จะได้รับเลือกตั้งเข้ามาบริหารท้องถิ่นในสมัยหน้า
ขณะเดียวกันโครงสร้างการเมืองระดับชาติ ได้ถูกปกครองโดยพรรค Barisan
Nasional ซึ่งปกครองมาเลเซียมาตั้งแต่ปี 1973
ซึ่งเป็นกลุ่มพรรคการเมืองหลายพรรคซึ่งประกอบพรรคการเมืองของชาวมาเลย์ จีน และอินเดีย
โดยมีเป้าหมายในการมีจุดร่วมกันทางเชื้อชาติและศาสนาอย่างสงบสุข ทำให้พรรคการเมืองดังกล่าวผูกขาดการปกครองของประเทศนับตั้งแต่นั้นมา
และสร้างแนวทางเชิงนโยบายทางสังคมและวัฒนธรรมที่ต่อเนื่อง
4.นโยบายและการบริหารจัดการของรัฐท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสำเร็จของมาเลเซียในการจัดการกับปัญหาชาติพันธุ์ในประเทศมิได้ขึ้นอยู่กับนโยบายทางการเมืองใหญ่แต่เพียงอย่างเดียว
การดำเนินการที่เป็นระบบและเป็นรูปธรรมของรัฐท้องถิ่นในการบริหารจัดการความแตกต่างหลากหลายดังกล่าวก็มีส่วนทำให้ชาติพันธุ์ต่างๆสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข
โดยเฉพาะในรัฐปีนัง และกลันตัน
ซึ่งมีการบริหารด้วยผู้นำท้องถิ่นพรรค
PAS
ที่เน้นแนวทางศาสนาอิสลามและปรับใช้หลักการศาสนาเพื่อดูแลความแตกต่างด้านชาติพันธุ์
จะพบว่าในรัฐปีนัง จุดเด่นของนโยบายอยู่ที่การที่รัฐท้องถิ่นได้ดำเนินนโยบายสอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจระดับชาติในการประสานผลประโยชน์ในท้องถิ่น
โดยเฉพาะการกระจายรายได้
กลุ่มชนชั้นนำของสังคมประสานผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจผ่านการลงทุนร่วมกันในกิจกรรมทางเศรษฐกิจรูปแบบต่าง
ๆ เช่น การจัดตั้งบริษัท
การลงทุนในโครงการอุตสาหกรรมขนาดย่อมและขนาดกลาง
รวมถึงการจัดสรรอำนาจการเมืองท้องถิ่นอย่างสมดุล
ทำให้ลดความรู้สึกไม่เท่าเทียมกันระหว่างชาวจีน มาเลย์และอินเดียได้ ในรัฐกลันตัน
จุดเด่นของการบริหารจัดการอยู่ที่พรรค PAS สามารถดำเนินนโยบายให้กลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่รู้สึกผ่อนคลายและสามารถแสดงอัตลักษณ์ของตนเองได้ในเวทีสาธารณะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การไม่บังคับทางศาสนา
ไม่อนุญาตให้เกิดการปะปนกันทางศาสนาและส่งเสริมประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของทุกกลุ่มชาติพันธุ์
การดำเนินการที่ผ่านมาของรัฐบาลสร้างความมั่นใจให้กับทุกกลุ่มชาติพันธุ์
และทำให้เกิดการนำเสนอประเพณีและวัฒนธรรมของกลุ่มสู่สาธารณะ กลวิธีสำคัญที่ใช้คือ
การเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ โดยผู้บริหารระดับสูงของรัฐ
การสนับสนุนงบประมาณ
การเป็นสื่อกลางนำเสนอประเพณีและวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์สู่ภายในรัฐในโอกาสต่างๆ
5.การสร้างจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองของรัฐร่วมกัน
มาเลเซียประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่งต่อการสร้างชาติในระยะเวลาอันสั้น
ในขณะที่หลายประเทศเกิดใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ซึ่งตกอยู่ภายใต้การปกครองจากจักรวรรดินิยม
ต้องประสบกับปัญหาการจัดการความแตกต่างด้านเชื้อชาติและสังคมวัฒนธรรม
และช่องว่างทางเศรษฐกิจ
แต่มาเลเซียแม้มีปัญหาแต่สามารถแก้ไขและปรับตัวได้ในเวลาเพียงหนึ่งทศวรรษ
ปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งคือการหลอมรวมความรู้สึกเป็นเจ้าของประเทศ
เป็นพลเมืองของประเทศ การมีสำนึกร่วมทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมร่วมกัน
ตัวอย่างที่ชัดเจนในการสร้างจิตสำนึกแห่งความเป็นพลเมืองประเทศร่วมกัน คือ
การสร้างจิตสำนึกในรัฐเคดาห์ ผ่านการเชิดชูสถาบันผู้นำ
สร้างประวัติศาสตร์พื้นที่ร่วมกันด้วยเครื่องมือที่สำคัญคือการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจทางสังคมอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะเรื่องการศึกษาที่สามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการหางานและพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างให้ดีขึ้น
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อการบริหารจัดการชาติพันธุ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้
1.การกระจายอำนาจการปกครองให้กับจังหวัดชายแดนภาคใต้มากขึ้น แม้ว่ารูปแบบการปกครองของไทยจะเป็นรัฐเดี่ยวที่ไม่สามารถแบ่งแยกอำนาจให้กับเขตต่างๆได้
มีลักษณะรวมศูนย์อำนาจจากส่วนกลาง และแม้จะมีการกระจายอำนาจภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปี
พ.ศ.2540
แต่ในทางปฏิบัติอำนาจการปกครองและการบริหารยังคงอยู่ภายใต้ส่วนกลางเป็นหลัก
และภายหลังการรัฐประหารเมื่อปี 2549
การกระจายอำนาจไปยังท้องถิ่นมีแนวโน้มหยุดชะงัก เนื่องจากปัญหาทางการเมืองภายใน
อย่างไรก็ตามการแก้ไขปัญหาด้านชาติพันธุ์ศาสนาและวัฒนธรรมในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวมาเลย์ที่นับถือศาสนาอิสลามไม่มีความคืบหน้า
และยังคงเน้นการแก้ปัญหาโดยการตัดสินใจรวมศูนย์ในกรุงเทพฯ
โดยยึดการแก้ปัญหาที่ใช้เครื่องมือทางทหารเป็นหลัก
แม้ว่าจะมีการเรียกร้องเพื่อการปกครองตนเองด้วยชื่อต่างๆ เช่น
เขตปกครองพิเศษหรือพื้นที่พิเศษ มาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960
จนถึงข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) ที่เสนอทางออกในการแก้ไขปัญหาให้พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้สมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร อย่างไรก็ตามแนวคิดดังกล่าวกลับไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด ดังนั้น
ด้วยลักษณะพิเศษในพื้นที่ดังกล่าว
รัฐบาลควรศึกษาและทดลองการให้อำนาจปกครองตนเองในรูปแบบการปกครองพิเศษก่อน เพื่อประเมินก่อนที่จะตัดสินใจในระยะยาวในเชิงนโยบายต่อไป
2.สร้างความเข้าใจทางประวัติศาสตร์ในพื้นที่ให้เป็นยอมรับและเข้าใจร่วมกันของประชาชนในพื้นที่ ปัญหาที่เรื้อรังอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
และส่งผลให้ความรุนแรงยังคงดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง ปัจจัยสำคัญคือ
การสร้างความเข้าใจและบิดเบือนทางประวัติศาสตร์ให้กับเด็กและเยาวชนในพื้นที่
ทำให้การรับรู้ที่ส่งผลต่อความเข้าใจประวัติศาสตร์ในพื้นที่คลาดเคลื่อน
และไม่สามารถสร้างความรู้สึกในการเป็นพลเมืองของรัฐไทยได้ นอกจากนี้
การศึกษาทางประวัติศาสตร์ของประชาชนในพื้นที่มักเป็นการสื่อสารทางเดียว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากครูสอนศาสนาในโรงเรียนเอกชนอิสลามในพื้นที่
ซึ่งปราศจากการตรวจสอบคุณภาพและความถูกต้อง รวมถึงวิถีชีวิตของคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ที่มีความใกล้ชิดกับผู้นำศาสนาในชุมชน
ทำให้การรับรู้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐไทยกับปัตตานีมีความคลาดเคลื่อนสูง
ดังนั้น
การดำเนินการเพื่อเสริมสร้างชุดความเข้าใจประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่
จะเป็นการลดความเข้าใจผิด และลดความเสี่ยงในการเพาะสร้างความเกลียดชังต่อรัฐไทย
3.ปรับเปลี่ยนแนวนโยบายในการผสมกลมกลืนให้เป็นไทยโดยละเลยความแตกต่างทางชาติพันธุ์
สังคมและวัฒนธรรม แนวคิดหลักของรัฐไทยในการสร้างชาติ (Nation
building) ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5
ที่เน้นการผสมกลมกลืนให้เกิดความเป็นไทย (Assimilation/Integration
approach) ได้ดำเนินมาหลายยุคสมัยจนถึงปัจจุบัน
โดยแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงแนวคิดหลักในการบริหารชาติพันธุ์ในแนวทางอื่น
โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งปฏิเสธแนวทางของรัฐไทยที่เน้นหลักการสำคัญคือ
ชาติ ศาสนา(พุทธ) และสถาบันในการสร้างชาติแนวทางผสมกลมกลืน
ซึ่งทำให้เกิดการละเลยความแตกต่างทางชาติพันธุ์ สังคมวัฒนธรรมและศาสนา
โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวมาเลย์ที่นับถือศาสนาอิสลาม
ซึ่งมีความแตกต่างในวิถีชีวิต
ความเชื่อ ความเป็นอยู่ รวมทั้งภาษาวัฒนธรรม
เมื่อชาวมาเลย์มุสลิมถูกบังคับให้ต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางเชิงนโยบายที่เน้นการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมความเป็นไทย
ทำให้การต่อต้านจากชาวมาเลย์มุสลิมในพื้นที่เป็นสิ่งที่เห็นได้โดยทั่วไปในอดีตจนถึงปัจจุบัน
ดังนั้นการปรับเปลี่ยนแนวทางเชิงนโยบายจากการเน้นการผสมกลมกลืนไปสู่ทางเลือกอื่นๆ
ที่หลากหลายขึ้น เช่น การมีตัวกลางในการเจรจา การให้สิทธิในการปกครองตนเองบางส่วน
หรือการแบ่งสรรอำนาจในการปกครอง เป็นต้น
4.ยอมรับความแตกต่างหลากหลายเชิงชาติพันธุ์
สังคมและวัฒนธรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การเปิดใจยอมรับความแตกต่างและหลากหลายด้านเชื้อชาติและสังคมวัฒนธรรมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่เฉพาะรัฐบาล
แต่สังคมไทยโดยรวมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะนำมาสู่การเข้าใจและสาเหตุแห่งความแตกต่าง
เพื่อหาวิธีการที่จะอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข
เนื่องจากอคติของการที่ไม่เป็นเหมือนกับคนส่วนใหญ่ เช่น ภาษา การแต่งกาย ศาสนา
ความเชื่อ ศิลปวัฒนธรรมและแนวทางในการดำรงชีวิต
หากปราศจากการรับรู้และเข้าใจในอัตลักษณ์เฉพาะอย่าง
ก็มีแนวโน้มที่จะหวาดระแวงกลัวว่าต่างฝ่ายจะทำลายความเป็นตัวตนของวัฒนธรรมหนึ่งในวัฒนธรรมที่ซ้อนทับกัน
ในกรณีที่ความไม่สบายใจ
และหวาดระแวงในการแสดงออกของอัตลักษณ์อาจพัฒนาไปสู่ความขัดแย้งด้วยการใช้กำลัง
ซึ่งต่างฝ่ายต่างไม่สามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้ภายใต้สภาวะที่มีความแตกต่างหลากหลาย
ซึ่งในท้ายที่สุดอาจนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพของรัฐในการปกครอง
และประกันความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของปัจเจกชน
ซึ่งทุกวันนี้สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เริ่มมีความหวาดระแวงระหว่างคนไทยที่นับถือศาสนาที่ต่างกัน
เนื่องมาจากความรุนแรงในพื้นที่ ทำให้สถานการณ์ในพื้นที่มีความยากลำบาก
อย่างไรก็ตาม
หากรัฐบาลในฐานะผู้กำหนดนโยบายในการดูแลกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ยอมรับความแตกต่างและกำหนดรูปแบบวิธีการที่เหมาะสมในการมีปฏิสัมพันธ์กับพื้นที่
เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในมาเลเซีย ก็น่าจะมีแนวโน้มที่ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จะบรรเทาลงได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น