วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เปิดโปงใคร!! คือผู้อยู่เบื้องหลังกลุ่มติดอาวุธภาคใต้

💥เปิดโปงใคร!! คือผู้อยู่เบื้องหลังกลุ่มติดอาวุธภาคใต้

เพจ : แฉความลับ โดยเสธน้ำเงิน ได้เขียนถึงที่มาของกลุ่มติดอาวุธในชายแดนภาคใต้เอาไว้ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

สภาพปัญหาชายแดนใต้ของไทย (ประกอบไปด้วย ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และอำเภอที่ติดชายแดนมาเลเซีย ของจังหวัดสงขลา อันได้แก่ อำเภอจะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย) ความรุนแรงที่มีประชาชนในพื้นที่ ช่วง 18 ปี ที่ผ่านมานี้ เกิดเหตุกว่า 9 พันครั้ง

- ตายเกือบ 6 พันราย

- เจ็บกว่า 1 หมื่นราย

- ทหารเสียชีวิตกว่า 500 นาย

- ตำรวจกว่า 300 นาย

- ครูเกือบ 200 ราย

และใช้งบประมาณแก้ปัญหาประมาณปีละ 2 หมื่นล้านบาท สามารถวิเคราะห์สรุปปัญหาความรุนแรง ถึงปัจจุบันได้ 4 ช่วงเวลา คือ

1. ระยะแรก (ก่อนปี 2544)..มาเลเซียต้องการยึดครอง 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่มีอังกฤษให้การสนับสนุน จากความต้องการทางการเมืองที่เคยถูกสยามยึดและควบรวมดินแดนสมัยต้นรัตนโกสินทร์ โดยมีผู้สั่งการก่อความรุนแรง สั่งมาจากมาเลเซีย คือ อดีตสุลต่าน หรืออดีตกษัตริย์รัฐปัตตานี , กลุ่มวาดะห์ ร่วมกับ กลุ่มเบอร์ซาตู

ระยะนี้สถาบันเบื้องสูงไทย ได้มีบทบาทคลี่คลายสถานการณ์เบาบางลง เนื่องจากสถาบันเบื้องสูง 2 พระองค์ ได้ทรงไปพบหารือกับพระราชาธิบดีของมาเลเซีย จึงมีการจับกุมอาวุธ ผู้ก่อการในมาเลเซีย

2. ระยะต่อมา (ปี 2544–2549)..คนแดนไกลเป็นนายกฯ มีการสั่งให้ใช้นโยบาย “กำปั้นเหล็ก” โดยการ อุ้ม ฆ่า ผู้ที่สงสัยก่อความรุนแรง และมีการสังหารหมู่คนมุสลิมจำนวนมาก เช่น กรณีปิดล้อมสังหารในมัสยิดกรือเซะ , กรณีสังหารหมู่ผู้ประท้วงที่โรงพักตากใบ , การอุ้มฆ่าทนายสมชาย และ แกนนำในพื้นที่ๆ คนมุสลิมนับถืออีกจำนวนมาก..เพียงแค่สงสัย !!

เค้าลางต่อมาตั้งแต่ปี 49 คนแดนไกลเริ่มคิดแผนแบ่งประเทศไทย ออกเป็นหลายประเทศ หรือ การแบ่งแยกดินแดน โดยใช้วาดะห์ และมีการสร้างกลุ่มติดอาวุธลับๆ ที่แยกตัวมาใหม่ อีกหลายกลุ่ม เช่น BRN ฯลฯ ประจวบกับเกิดขบวนการค้าของผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์ ค้ายาเสพติด ค้าน้ำมันเถื่อน เข้ามาผสมโรงกัน

3. ระยะกลาง (ปี 2550 – 2555)..ทั่วโลกการแย่งชิงแหล่งพลังงานกำลังเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลก เพราะพลังงานในตะวันออกกลางใกล้จะหมด ในอีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า ก็จะเกิดวิกฤติพลังงานขึ้น ประเทศยักษ์ใหญ่มหาอำนาจ จึงมุ่งหน้าใช้สรรพกำลังเต็มอานุภาพในการแย่งชิงกันอย่างหนัก และชิงแหล่งพลังงานในอ่าวไทย “ในบล็อกที่ 3 “ที่เป็นส่วนหางของแหล่งน้ำมันที่เชื่อมต่อเป็นสายพลังงาน มาจากหมู่เกาะสแปรตลีย์

สหรัฐฯ ถึงกับขอรัฐบาลปูเน่า มาตั้งฐานตรวจอากาศในไทย โดยเป้าหมายแท้จริงๆ 2 ประการ คือ ประการแรกเป็นจุดที่ใช้ไทยเป็นสงครามตัวแทน ก่อสงครามหยุดยั้งการแผ่อิทธิพลจีนในเอเชียใต้ ถึงขนาดรีบส่งผู้บัญชาการทางทหารมาไทยทันที และประการสองเพื่อสำรวจแหล่งพลังงานในทะเลจีนใต้ ตรงหมู่เกาะสแปรตลีย์ รวมทั้งในอ่าวไทยในบล็อกที่ 3 ใกล้จังหวัดชายแดนใต้จุดนี้ด้วย

หากผู้ใดได้สิทธิการครอบครอง อ่าวไทยในบล็อกที่ 3 ก็จะมีมูลค่าโคตรมหาศาลมากกว่า 7 แสนล้าน-ล้านบาทที่เดียว เผาไทยจึงมีความพยายาม ทำท่าจะสมยอมกับเขมร ให้ไทยเสียเขาพระวิหาร

ถึงกับส่งคนไปเจรจากับวีระ ในคุกเขมรถึง 3 ครั้ง เพื่อให้ยอมรับว่า รุกดินแดน จะได้เป็นข้ออ้าง รวบรัดยกดินแดนให้เขมร เป็นต้นเหตุที่ทำให้ ทั้งมาเลเซีย และเขมร พยายาม ที่จะอ้างสิทธิเข้าครอบครองพื้นที่ทางทะเลในอ่าวไทย ทับซ้อนกับไทย ทำให้เขมรมีการอ้างเขตแดนเขาพระวิหารไปฟ้องศาลโลกซ้ำ โดยมีฝรั่งเศสหนุนหลัง

แต่ศาลโลกไม่ได้ฟันธงให้เขมรชนะ แค่ให้ 2 ประเทศไปหารือตกลงกันแบบสันติ ประเทศไทยจึงไม่ถูกฉีกแบ่งแยกดินแดนเขาพระวิหารทันที และแผนที่ละติจูด ลองติจูด เพียงแค่ 1 องศาตรงบนยอดเขาพระวิหาร จุดแบ่งดินแดนเท่านั้น อาจจะส่งผลให้เขมร ได้พื้นที่ในทะเลแหล่งพลังงานไปด้วย ซึ่งเรื่องนี้ผลีผลามไม่ได้ จะขัดมติศาลโลก และเกิดสงครามรบพุ่งกัน

คนเอามัน ก็ยุให้ไทยใช้กำลังทหารบุกไปเอาดินแดนคืนมาเลย คิดเช่นนั้นก็ขอเกณฑ์ทุกคนที่พูดเหล่านั้นเป็นทหารแนวหน้า ติดอาวุธให้แล้วส่งเดินหน้าออกรบชายแดนไปเลยสัก 1 ปี จะได้เข็ดไม่พุดเอามันอย่างเดียว เพราะการสู้รบกันมันใช้ในยามผู้นำประเทศ พูดกันไม่รู้เรื่องแล้วเท่านั้น และทหารทั้ง 2 ฝ่ายก็ตาย ญาติก็เสียใจ

ราษฎรตลอดแนวชายแดน ไม่เฉพาะจุดสู้รบ เดือดร้อนหมด ลูกปืนใหญ่ตกใส่หลังคาบ้าน นักเรียนต้องหลบในบังเกอร์หลบภัย แต่คนที่ยุ ด่ากราด ตะโกน หรือโพส กลับอยู่ในกรุงเทพ ไม่คิดถึงจิตใจทหาร และชาวบ้าน ลูกเด็กเล็กแดง แนวชายแดนตาดำๆ

ถ้านึกภาพไม่ออก ให้ดูฉนวนกาซ่า ว่าสภาพเป็นอย่างไรเวลาเกิดสงคราม และตอนนี้ ไทย – เขมร มีสัมพันธ์ดีต่อกัน กระทรวงกลาโหมของไทย เพิ่งต้อนรับ พล.อ.เตีย บัน รมต.กลาโหม กัมพูชา และคณะอย่างสมเกียรติ ตอกย้ำความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น ระหว่าง 2 ประเทศ เพราะมีตั่วเฮียจีนเป็นกาวใจ คอยปรามเขมรไว้

ดังนั้นเรื่องดินแดน ต้องใช้คณะกรรมการชายแดนท้องถิ่นระหว่าง 2 ประเทศ (JBC) ประชุมเจรจากันไป ตรงไหนเห็นตรงกัน ก็ปักปันเขตแดนไปเรื่อยๆ จุดใดเห็นต่างกันก็เว้นไว้ ไม่มีใครได้ดินแดนพิพาทไปทั้งสิ้น ตามที่มีบางพวกยังโพสต์บิดเบือนด่ากราดยุยงอยู่ คนที่ไม่รู้ก็หลงเชื่อ จะทะเลาะยิงกันไปทำไม ในเมื่อสงครามใหญ่จากชาติตะวันตกจะมา ภัยร้ายแรงกว่าเขตแดนอีกมากนัก

4. ระยะปัจจุบัน (ปี 2556–ปัจจุบัน )..ระยะนี้เป็นภัยต่อความมั่นคงรูปแบบใหม่ เพราะมีต่างชาติตะวันตก ตะวันออกกลาง เพื่อนบ้าน (อินโดฯ , มาเลย์ ) และคนแดนไกล รู้เรื่องแหล่งพลังงานในจังหวัดชายแดนใต้นี้ด้วย จึงผสมโรงกันหลายกลุ่ม ปนเปไขว้กันไปหมด เช่น

4.1 กลุ่มต่างชาติตะวันตก และเครือข่ายนักแสวงโชคทางการเมือง สั่งการก่อการร้าย โดยก่อความรุนแรงกับคนไทยพุทธ และมุสลิมหนักข้อขึ้น เพื่อให้ประชาชนที่อยู่อาศัยหวาดกลัว และยอมขายที่ดิน ละทิ้งถิ่นฐานอพยพไปอยู่ที่อื่น (คล้ายๆ ยิงระเบิดไล่ที่ปาเลสไตน์ว่างั้นเถอะ) จากนั้น ก็จะไปกว้านช้อนซื้อที่ดิน จากคนท้องถิ่นเหล่านั้น มาเป็นของตนเอง

ชาติตะวันตก ต้องการจุดชนวนสงครามกลางเมือง ในดินแดนจังหวัดชายแดนใต้ของไทย ให้ลุกลามไปมาเลเซีย เพื่อทำให้จุดแถบนี้ สถานการณ์สู้รบเป็นยูเครนแห่งที่ 2 จากนั้น อเมริกา อังกฤษ ก็จะหาเหตุเข้ามาแทรกแซง และยึดช่องแคบมะละกาไว้ เพื่อสยบจีนคล้ายๆ เขาทำตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นแหละ

เพราะใครยึดช่องแคบมะละกา ที่เป็นจุดเชื่อมต่อของโลกตะวันออก กับโลกตะวันตก ได้เบ็ดเสร็จ โอกาสกำชัยชนะสงครามโลกครั้งที่ 3 ก็มีมากกว่านั่นเอง การรบกันนอกจากทางบก อากาศ อย่างไรเสียสงครามทางทะเล ก็จะเป็นจุดชี้ขาดชัยชนะสงครามได้ เหมือนสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2

ระยะนี้เกี่ยวพัน คนแดนไกล คือ เขาไปที่อังกฤษ เอาผลประโยชน์ชาติน้ำมันในอ่าวไทยในเขต จังหวัดชายแดนใต้ แลกกับอำนาจ เพื่อร้องขอให้อังกฤษสั่งการมาเลเซีย ที่เคยอดีตเมืองขึ้น ให้ร่วมมือกลับกลุ่มวาดะห์ของเผาไทย ก่อการร้าย และให้ลุกลามไปตามหัวเมืองใหญ่ เช่น เบตง หาดใหญ่ และลามมา กรุงเทพ ฯ

เมื่อ 3 ตระกูลร้ายเผาไทย ออกนอกประเทศ การก่อวินาศกรรม ที่เบตง ยะลา จึงเกิดขึ้น ซึ่งถ้าไปดูย้อนหลังหลายปีที่เขาหนีอยู่ต่างประเทศ จะพบการก่อเหตุเป็นประจำปีทุกครั้ง ก่อนและหลังวันเกิดของเขา เพื่อให้สอดคล้องเนียนๆ ไปกับเดือนรอมดอน ของอิสลาม

4.2 กลุ่มติดอาวุธแบ่งแยกดินแดน ศัตรูคนมุสลิม เช่น กลุ่ม BRN , RKK ก่อนหน้านี้ยังไม่มีใครที่สามารถอธิบายถึงเหตุผลที่แท้จริงว่า มันเกิดจากสาเหตุใด มีเพียงข้อสันนิษฐานต่างๆ นาๆ เช่น เกิดจากความขัดแย้งทาง เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม ที่แตกต่างกัน ถัดมากลุ่มนี้ฝึกอาวุธที่อินโดนีเซีย ปากีสถาน โดยกลุ่มอัลกออีดะห์ ทุนหนุนจากซาอุบางส่วน และมีทุนจากเครือข่ายน้ำมันเถื่อนด้วย

แรกเริ่มเดิมทีกลุ่มนี้ เป็นคนไทยมุสลิม ที่มีความรู้สึกว่า ตัวเองและพวกพ้อง ไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกเอารัดเอาเปรียบจากทางการ จึงร่วมมือกัน เพื่อแยกยินแดนแถบนี้เป็นรัฐอิสระ โดยใช้ข้ออ้างเรื่องศาสนา ทำให้พี่น้องชาวมุสลิมบางส่วนถูกหลอกลวงให้หลงเชื่อ ด้วยการถูกล้างหัวให้เชื่อด้วยข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และทำการแข็งข้อกับทางการ จนถูกจับกุมดำเนินคดี

พอถูกดำเนินคดี ก็ใช้จุดนี้เป็นจุดร่วม ในการเพิ่มหรือขยายแนวร่วมให้เพิ่มและกว้างออกไป แรกๆ ก็ขอเงินช่วยเหลือจากแถบตะวันออกกลาง เช่น ซาอุฯ เพื่อเคลื่อนไหว แต่ต่อมากลายเป็นว่านำเงินเหล่านั้น มาก่อความรุนแรง ที่มิใช่แนวทางแห่งมุสลิม ประเทศตะวันออกกลาง ที่เคยให้การสนับสนุนด้านการเงิน ก็ลดการสนับสนุนลง

การก่อเหตุแต่ละครั้งต้องใช้เงิน การทำคาร์บอมแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่ายกว่า 150,000 บาท ระยะหลังไม่ใช่เรื่องความต้องการแบ่งแยกดินแดนแล้ว แต่มันคือผลประโยชน์จากเงินล้วนๆ ขัดกับหลักคำสอนของศาสนาอิลลาม ดังนั้นจึงขอเรียกว่า “กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม” เพราะทำให้คนมุสลิมดีๆ อีกมากที่เขาอยู่ร่วมกับชาวพุทธด้วยสันติ พลอยเสียหายไปกับกลุ่มหิวเงินนี้ด้วย

หลักฐานเรื่องนี้ คือ จากเหตุก่อการร้ายในพื้นที่ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส กลุ่มติดอาวุธศัตรู 4 คน ขี่มอเตอร์ไซต์ 2 คัน ตามประกบรถยนต์เก๋ง ส.ต.ต.อัสมิง ยูโซ๊ะ ตำรวจ สภ.โกตาบารู ถูก ส.ต.ต.อัสมิง ขับรถเบียดกลุ่มติดอาวุธล้ม 1 คัน ในระหว่างนั้นทหาร ฉก.นธ.30 ได้เข้ามาช่วยเหลือ และยิงตอบโต้กับกลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม ทำให้คนร้ายเสียชีวิต จำนวน 3 คน มีประวัติดังนี้

 

- นายซอฟวัน สาแล๊ะ เคยโดนจับ 1 ครั้ง และให้การสารภาพว่า เป็นเจ้าของรถกระบะที่ใช้ขนปืน จากเหตุปล้นปืนทหาร เมื่อ 19 ม.ค.2554 และยังนำไปสู่การจับกุม ค้นปืน และระเบิด หลังบ้านพ่อตาเขา จนออกออกหมายจับ และได้รับการประกันตัว จนหนีประกันไป

- อับดุลเลาะ ยูนุ๊ แนวร่วมระดับสั่งการในฟื้นที่

- นายมะยูดิง หะยีสะนิ เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการกลุ่มแบ่งแยกดินแดนศัตรูคนมุสลิม RKK

- ส่วน นายอับดุลรอพา สาและรู เป็นลูกเขยโต๊ะอิหม่าม ยะผา กาเซ็ง (เสียชีวิต ภายในวัดสวนธรรม อ.รือเสาะฯ ระหว่างควบคุมตัว ปี 2549) เคยโดนควบคุมตัวแล้ว 1 ครั้ง ผลการซักถามให้การปฏิเสธ และปล่อยตัว ล่าสุดกลางปี 2556 ร่วมก่อเหตุลอบยิง ตำรวจ.สภ.รือเสาะ เสียชีวิต 4 นาย (จากภาพวงจรปิด และผลการซัดทอด) ผลการปะทะครั้งนี้ เขาบาดเจ็บ และหลบหนีไปได้ จาก DNA รองเท้าแตะ และหยดเลือดในที่ปะทะ

กลุ่มติดอาวุธ ที่ถูกเจ้าหน้าที่ยิงเสียชีวิตทุกคน สวมนาฬิกาแบบเดียวกัน “ยี่ห้อ Timemax (หน้าปัดเขียนว่า Timax Expedition) ที่ข้อมือขวาของทั้ง 3 คน ตั้งเวลาตรงกัน แสดงเชิงสัญลักษณ์ ในการปฏิบัติการครั้งนี้ นาฬิการุ่นนี้ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์บอกฝ่าย ของ กลุ่มติดอาวุธ ที่ผ่านการฝึกระดับคอมมานโด

ในรุ่นแรกๆ จะเป็นสมาชิกที่เป็นนักศึกษาไปเรียนที่อินโดนีเซีย แล้วเข้ารับการฝึกที่ เมืองบันดุง ทางตอนใต้ของเกาะชวา ต่อมาฝ่ายยุทธการของ BRN. Co-ordinate ได้นำหลักสูตรคอมมานโด มาฝึกให้กับสมาชิกกลุ่มติดอาวุธ เพื่อก่อเหตุรุนแรงในประเทศไทย

โดยจะคัดเลือกสมาชิกที่ผ่านการฝึก RKK มาแล้ว เพื่อทำงานด้านการการรบโดยเฉพาะ และมีหน้าที่รับผิดชอบ ในการควบคุมการปฏิบัติการก่อเหตุรุนแรงของสมาชิก RKK โดยเป็นการปฏิบัติงานที่รุนแรงสูงขึ้น เป้าหมายที่ใหญ่ และมีความเสียหาย เดือนร้อนกับคนมุสลิมมากๆ ครอบคลุมพื้นที่กว้างขึ้น และยังปฏิบัติงานข้ามเขตรับผิดชอบกันได้

4.3 กลุ่มผลประโยชน์เกี่ยวกับสินค้าหนีภาษี..กลุ่มนี้ผลประโยชน์ล้วน ๆ เป็นผู้จ้างกลุ่มแบ่งแยกดินแดน ให้ก่อการร้าย อีกที หรือมีเจ้าหน้ารัฐส่วนน้อยที่ทำเพราะความโลภ โดยจะก่อความรุนแรงเพื่อเปิดเส้นทางขนของเถื่อน โดยเฉพาะน้ำมันเถื่อนเป็นหลัก เมื่อใดที่หัวหน้าขบสนการค้าน้ำมันเถื่อนถูกจับ สถานการณ์ก็จะรุนแรงขึ้นทันที

ในโลกนี้เรื่องบังเอิญไม่มีอยู่จริง ทุกอย่างมีที่มาที่ไปทั้งสิ้น กลุ่มติดอาวุธ ก็หิวเงินเพื่อเอาใช้ในการดำเนินการก่อความรุนแรง เป็นค่าแรงผู้ปฏิบัติ ค่าจ้าง ค่าวัสดุ-อุปกรณ์ เครื่องมือต่างๆ รถมอเตอร์ไซต์ และ รถยนต์ ค่าน้ำมันในการเดินทาง ถ้ามีแต่อุดมการณ์ แต่ไม่มีเงินก็คงไม่มีวันบรรลุผลได้

ดังนั้นแหล่งเงินที่อุดมสมบูรณ์ ก็คือ สินค้าหนีภาษี น้ำมันเถื่อน และยาเสพติด ที่เป็นสิ่งผิดกฎหมายของไทย ปัจจุบันปัจจัยนี้ คือ ปัจจัยหลักของความรุนแรงในปัจจุบัน และสินค้าหนีภาษีก็ยังแยกย่อยออกเป็นชนิดให้ผลประโยชน์สูง กับ ผลประโยชน์น้อย แต่เสี่ยง

ผลประโยชน์น้อย แต่เสี่ยงมาก คือ สินค้าหนีภาษี กลุ่มนี้รู้ว่าคงได้เงินไม่มาก สำหรับคนไฮโซอย่างพวกเขาเลยไม่เอา เรื่องยาเสพติด กลุ่มนี้ใช้เพื่อเสพเป็นหลัก เพราะต้องใช้ย้อมใจให้ฮึกเหิมก่อนลงมือ แต่ไม่ใช่ผู้ค้ารายใหญ่ เพราะถูกจับได้ก็ไม่คุ้มกัน เพราะหากถูกจับปริมาณมากๆ ล้อตใหญ่ๆ มีสิทธิ์ถูกประหารชีวิตได้

ผลประโยชน์มาก เสี่ยงน้อย คือ น้ำมันเถื่อน เพราะทำให้สามารถหาทุนเคลื่อนไหวรวยขัดหลักศาสนาได้มากกว่า โทษที่จะได้รับหากโดนจับกุมจะเบามาก แค่ติดคุกไม่กี่ปี ส่วนแบ่งผลประโยชน์ที่ได้ ก็พอๆ กับการค้ายาเสพติด กลุ่มติดอาวุธ จึงคิดว่า ค้าน้ำมันเถื่อนคุ้มค่ากว่า

เดิมปัญหาเรื่องน้ำมันเถื่อนมีมานานแล้ว โดยมีชาวประมงเป็นผู้ใช้ ไปซื้อเติมกันกลางทะเล ต้นทุนการหาปลาก็จะถูกลง ชาวประมงก็ได้จะกำไรสูงกว่าชาวประมงในพื้นที่อื่น ถ้านำมันเถื่อนเหลือ ก็นำมาขายต่อไปอีกทอดหนึ่ง จนแพปลาบางแห่ง ถึงกับลงทุนดัดแปลงเรือหาปลา เพื่อตบตาตำรวจน้ำ ให้ดูภายนอกเหมือนเรือหาปลา แต่ภายในบรรทุกน้ำมันเถื่อนเต็มลำเรือ

ปลาไม่หาแล้ว เอาน้ำมันเถื่อนมาขายที่บนฝั่ง เมื่อแพปลาโน้นทำได้ แพปลานี้ก็เอาบ้าง กลายเป็นหลายแห่งทำ เพราะเอามาขายเท่าไรก็หมด แต่ในหลาย ๆ แห่งก็มีปัญหาเรื่องตำรวจน้ำเข้มงวดบ้าง ฝนฟ้าอากาศบ้าง ทำให้ต้องออกไปเอาน้ำมันเถื่อนกลางทะเลมาทีละเยอะ ๆ ซึ่งอาจขายไม่หมด จึงต้องหาที่เก็บน้ำมันบนบก ที่เรียกว่า คลังน้ำมันเถื่อน

คนในพื้นที่ติดชายแดนไทย - มาเลย์ รู้ดีว่า ราคาน้ำมันที่ฝั่งมาเลย์ ถูกกว่าฝั่งไทยราว 10 กว่าบาท เลยทำทีเป็นนักท่องเที่ยวขับรถข้ามพรมแดนไปเติมน้ำมันในฝั่งมาเลเซีย แล้วก็ขับกลับมาไทย เวลากลับเข้าไทยตอนผ่านด่านก็ตรวจสอบไม่ได้ด้วยว่าเถื่อนหรือไม่ คนในพื้นที่จึงนิยมใช้น้ำมันมาเลย์มากกว่า

พ่อค้าน้ำมันเถื่อน นอกจากจะนำน้ำมันเถื่อนเข้ามาจากทางทะเลแล้ว ยังดัดแปลงรถบรรทุกน้ำมันข้ามเขตแดน ขนได้เที่ยวละหลายพันลิตร แหล่งนำเข้าน้ำมันเถื่อนทางบกอีกทาง ก็คือน้ำมันถูกกฎหมายจากมาเลย์ แต่ลักลอบนำเข้าไทยแบบผิดกฎหมายโดยไม่ต้องจ่ายภาษีนั่นเอง

ทำให้น้ำมันที่ถูกกฎหมายของไทย ผลิตส่งมาขายไม่ค่อยดี ทำให้น้ำมันค้างอยู่ในคลังน้ำมันสงขลาในปริมาณมาก และ นานเกินไป เมื่อต้องเร่งระบายน้ำมันเหล่านั้นออกไปด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เมื่อนั้นการก่อเหตุวางระเบิดในหาดใหญ่ และบางอำเภอในสงขลา จะเกิดขึ้นทันที เพื่อบล็อกน้ำมันถูกกฎหมายเลหลังของไทย ไม่ให้ไปแย่งตลาดน้ำมันเถื่อน

คนที่ได้ประโยชน์จากน้ำมันเถื่อน คือ กลุ่มพ่อค้าน้ำมันเถื่อน กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม ชาวประมงที่ใช้น้ำมันเถื่อน รถขนส่งสินค้าที่ใช้น้ำมันเถื่อน ชาวบ้านที่เติมน้ำมันเถื่อน ได้ประโยชน์กันทั่วหน้า อ้างว่าน้ำมันในประเทศแพง จึงจำเป็นต้องใช้น้ำมันเถื่อน ผู้ที่เสียประโยชน์ คือ ประเทศไทย และ คนไทยทุกคน เนื่องจากขาดรายได้จากภาษีน้ำมัน ที่ควรจะถูกนำไปเป็นงบประมาณแผ่นดิน และสูญเสียโอกาสพัฒนาประเทศ

แต่ด้วยคลังน้ำมันเถื่อน จะต้องหลบซ่อนเจ้าหน้าที่ จึงจำเป็นต้องหากลุ่มติดอาวุธมาคุ้มกัน จนกว่าจะลำเลียงไปส่งขายหมด ส่วนกลุ่มพ่อค้าน้ำมันเถื่อนเอง ก็จำเป็นต้องพึ่งพา กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม พวกนี้เป็นอย่างยิ่ง ในการทำธุรกิจน้ำมันเถื่อน เริ่มตั้งแต่รับน้ำมันเถื่อนเข้าเก็บในคลัง , คุ้มครองคลังน้ำมัน , ลำเลียงน้ำมันไปยังลูกค้าปลายทาง

ปมมันปัญหามันอยู่ที่ การจะขายน้ำมันเถื่อนให้ได้กำไรมาก ๆ ต้องขายภายไทยเท่านั้น !! เพราะราคาน้ำมันเถื่อนในไทย ถูกกว่าน้ำมันที่ถูกกฎหมาย ราวลิตรละ 10 กว่าบาท ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ มีรถยนต์ และจักรยานยนต์ จดเบียนประมาณ 1.2 ล้านคัน และยังมีรถขนส่งสินค้าที่จรไปส่งของจากที่อื่นเข้าเติมน้ำมันอีก

จึงมีความต้องการใช้น้ำมันสูงมาก พ่อค้าน้ำมันเถื่อนจึงรวย ถ้าวันหนึ่งสามารถลำเลียงน้ำมันเถื่อนไปส่งถึงผู้รับช่วงขายได้วันละ 1 แสนลิตร จะได้กำไรวันละ 1 ล้านบาท ความเสี่ยงหลักที่ทำให้ธุรกิจน้ำมันเถื่อนหยุดชงัก คือ ถูกทางการจับกุม ดังนั้นพ่อค้าน้ำมันก็ไปติดสินบนกับ เจ้าหน้าที่รัฐที่เก็บภาษี และมีนิสัยขี้โกงชาติบางส่วน ให้ทำเป็นไม่เห็นเมื่อรถส่งน้ำมันผ่านด่าน

ระหว่างทาง ก็ไปจ้างกับกลุ่มติดอาวุธ เพื่อคุ้มครองการลำเลียงน้ำมันเถื่อนไปยังที่หมายปลายทาง แล้วแบ่งผลกำไรกัน วิธีนี้ก็ความเสี่ยงธุรกิจก็ลดลงจนแทบไม่มี เมื่อไหร่ก็ตามที่รถลำเลียงน้ำมันเถื่อนโดนยึด หรือถูกจับกุม กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม จะอาละวาด ฟาดหัว ฟาดหาง ทันที

ให้สังเกตดูได้ทุกครั้งที่มีการปฏิบัติการกวาดล้าง ตรวจค้น พื้นที่ หรือ จับกุม ของหนีภาษีและน้ำมันเถื่อน ก็จะมีเหตุการณ์ตอบโต้เสมอๆ เช่น วางระเบิดย่านชุมชน และให้ดูที่สำคัญอีกอย่างจะแปลกใจมาก คือ คลังน้ำมันเถื่อน ธุรกิจค้าน้ำมันเถื่อน รถขนน้ำมันเถื่อน กลับไม่เคยถูกลอบโจมตีเลยสักครั้ง จากกลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม แปลกแต่จริงใช่ไหม?? นี่คือสิ่งบ่งชี้ความเกี่ยวพันกัน..ถึงบอกว่า "เรื่องบังเอิญ ไม่มีอยู่จริงในโลกนี้ ทุกอย่างมีที่มาที่ไปทั้งสิ้น"

กลุ่มพ่อค้าน้ำมันเถื่อน กับ กลุ่มติดอาวุธ จึงไม่สามารถแยกจากกันขาด เพราะหากขาดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อีกฝ่ายก็เดี้ยง ทุกอย่างจบกัน รูปแบบ 2 กลุ่มนี้ จึงคล้ายน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า พ่อค้าน้ำมันเถื่อนได้กำไรมาก กลุ่ม กลุ่มติดอาวุธ ก็ยิ่งได้ส่วนแบ่งจากพ่อค้าในสัดส่วนมากไปด้วย ทำให้ธุรกิจน้ำมันเถื่อนเจริญเติบโตได้

เมื่อเป้าหมายของทั้งสองกลุ่มตรงกัน คือ “เงิน” ดังนั้น กลุ่มติดอาวุธ อ้างแถข้างๆ คูๆ ว่า ต้องหาเงินจากน้ำมันเถื่อน เพื่อเอามาก่อความรุนแรงแบ่งแยกดินแดนเป็นรัฐอิสระ ส่วนกลุ่มพ่อค้าน้ำมันเถื่อน ก็อยากได้เงินรวยมากๆ ขึ้นไปอีก ต้องค้าน้ำมันเถื่อนให้ได้ปริมาณมาก ๆ จะได้กำไรมากๆ

 

แต่กลุ่มพ่อค้าน้ำมันเถื่อนก็ฉลาด หากยอมให้ กลุ่มติดอาวุธ ได้เงินไปมากเกินไป สักวันพวกนี้อาจสามารถแบ่งแยกดินแดนได้ กลุ่มพ่อค้าก็จะเสียประโยชน์อีก เช่น หากแบ่งแยกดินแดนเป็นรัฐอิสระ นโยบายเรื่องราคาน้ำมันภายในรัฐอิสระนั้น จะเป็นเหมือนกับไทยหรือไม่ก็ไม่รู้

ดังนั้นพ่อค้าน้ำมันเถื่อนเอง ก็คิดหาวิธีต่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มกลุ่มติดอาวุธ ก่อการร้ายจนแบ่งแยกดินแดนได้สำเร็จ คือ แสร้งสร้างฉากให้เห็นว่าลึกๆ แล้ว ทั้งสองกลุ่มนี้ขัดแย้งกันในเป้าหมาย แต่ความจริงแล้วไม่ใช่

โดยปกติแล้วการก่อการร้ายทั่วโลก ในทันทีเมื่อก่อการร้ายเสร็จแล้ว จะมีการออกข้อเรียกร้องว่าจะให้ทางการทำอะไรบ้าง เพื่อแลกเปลี่ยนกับการยุติการก่อเหตุแบบนั้น แต่กลุ่มติดอาวุธของไทย ไม่เคยออกมาเรียกร้องอะไรเลยอย่างเป็นทางการแม้แต่ครั้งเดียว นั่นก็เพราะพวกเขาได้ทรยศกระทำผิดหลักศาสนา มัวเมาหลงติดกับเงินและอำนาจเข้าแล้ว

ทำให้กลุ่มพ่อค้าน้ำมันเอง ก็พึงพอใจที่ไม่ต้องแยกดินแดนให้สำเร็จ เพราะจะเสียโอกาสสร้างผลกำไร ปัจจุบันเลยกลายเป็นว่า สร้างสถานการณ์เพื่อข่มขู่ชาวบ้าน และทางการให้หวาดกลัว เบี่ยงประเด็น จะได้ไม่สนใจปราบปรามการค้าน้ำมันเถื่อนก็เท่านั้นเอง ไม่มีอุดมการณ์ทางการเมือง เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม อะไรเลยเพียงแม้เสี้ยวของเส้นผม

ดังนั้นกลุ่มติดอาวุธ BRN, RKK หรือจะกลุ่มใดก็ตาม เปลี่ยนชื่อกลุ่มไปเถอะ เป็นชื่อ SIO ( Safeguard of illegal oil ) จะได้ตรงวัตถุประสงค์ของกลุ่มจริงๆ ก็จุดประสงค์คล้ายกลุ่ม IS, เคิร์ด ในอิรัก, อัลนุสรา ในซีเรีย ที่มีภารกิจหลักคือการปกป้องแหล่งน้ำมันของผู้ว่าจ้าง

ในเวลานี้ กลุ่มติดอาวุธ จึงพยายามสร้างความหวาดกลัวให้เต็มพื้นที่อิทธิพล เพื่อให้ชาวบ้านได้ยินชื่อ แล้วกลัวตายจนไม่กล้าเปิดตัวร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐ ดังนั้นเป็นข้อคิดเตือนใจคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนไต้ของไทย (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และบางอำเภอ ของจังหวัดสงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย)

อย่าร่วมมือกับ กลุ่มติดอาวุธศัตรูคนมุสลิม เพราะถ้าขืนนักการเมืองในอนาคตเกิดยอมให้แยกดินแดนได้จริง ๆ ขึ้นมา ก็ยังต้องไปทะเลาะต่อสู้กันเองอีก ชีวิตท่ามกลางห่ากระสุนปืนใหญ่ จะไม่ต่างจากชาวปาเลสไตน์ในฉนวนการซ่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น