นิสัยแบบคนดีบางอย่างก็ทำให้ชีวิตเราไม่พัฒนา
การยอมคนไปเสียทุกอย่างจนถูกเอาเปรียบ และอีกหลายปัญหาที่บอกเราว่าควร เลิกเป็นคนดี
ซะ!
การเป็นคนดีของเราอาจทำให้หลายๆ
คนสบายใจ อยากอยู่ใกล้ เพราะเราใจดี ให้ทำอะไรก็ทำให้ พูดด้วยง่าย
ไหว้วานอะไรก็ไปหมด จนทำให้ตัวเองอึดอัดและไม่สบายใจ
เราจะมัวฝืนใจทำในสิ่งที่คิดว่าเป็นคนดีอยู่ทำไม
ในเมื่อเราสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่เราอยากเป็นและไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน
มาดูวิธี
เลิกเป็นคนดี แบบมืออาชีพ ที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณไปในทางที่ดีขึ้นได้
เลิก
“เลี่ยงบทสนทนาที่เกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ”
ความจริงที่น่าเศร้าอย่างหนึ่งในสังคมเราก็คือ
“ยิ่งเป็นคนดีก็จะยิ่งจน” เพราะคนดีมักมีความคิดว่า
การพูดคุยเรื่องเงินเป็นเรื่องที่เสียมารยาท และมักแคร์สายตาคนอื่นมาเกินไป
และกลัวว่า “ถ้าคุยเรื่องเงินจะถูกมองว่าเป็นคนน่ารังเกียจหรือเปล่า”
ทั้งยังไม่กล้าเผชิญหน้าความจริงจึงไม่อยากพูดเรื่องเงินซึ่งเป็นสิ่งของที่เห็นเป็นรูปธรรม
คนดียากจน
เพราะไม่ยอมเข้าหาเงิน และมักเลี่ยงบทสนทนาที่เกี่ยวกับเงิน ตัวอย่างเช่น
ถ้าเราชอบเลี้ยงแมว แล้วพูดถึงแต่เรื่องแมว เราจะมีเพื่อนที่ชอบเลี้ยงแมวเหมือนกัน
หากเราชอบวิ่งมาราธอนแล้วคุยแต่เรื่องนี้ เราก็จะมีเพื่อนไปวิ่งมาราธอนด้วย
เรื่องเงินก็เช่นกัน
คนที่ไม่ชอบคุยเรื่องเงินจะไม่เข้าใกล้คนที่สนใจเรื่องเงิน
โอกาสที่จะได้รับข้อมูลในการสร้างรายได้ก็จะลดน้อยลงด้วย ดังนั้น
หากไม่อยากขัดสนเรื่องเงินหรืออยากมีเงินมากขึ้น เราก็ต้องพูดคุยเรื่องเงินมากขึ้น
แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ไปพูดกับคนอื่นว่า
“คุณมีเงินเดือนเท่าไหร่” หรือ “โปรดช่วยเหลือคนจนๆ อย่างฉันด้วยเถอะ”
การพูดคุยเรื่องเงิน หมายถึงการคุยในหัวข้อต่างๆ เช่น “มีวิธีประหยัดเงินแบบนี้ด้วยนะ”
“ทำแบบนี้จะคุ้มกว่านะ” หรือ “การซื้อกองทุนทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นเยอะเลยละ”
การพูดคุยเช่นนี้จะทำให้เราได้เข้าใจคนที่มีความรู้และความสนใจ
“โอกาสสร้างรายได้” “วิธีบริหารจัดการ” “วิธีประหยัดเงิน”
และ “เทคนิคการซื้อของอย่างชาญฉลาด” เป็นต้น
เลิก
“ประเมินตัวเองต่ำเกินไป”
คนเรานั้น
ยิ่งเป็นคนดีมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกผิดกับการรับเงินค่าจ้าง
จึงไม่กล้าตั้งราคาตามที่ใจต้องการ เพราะคนเหล่านี้มักคิดว่าการรับค่าจ้าง
คือการรับเงินจากผู้อื่น และเป็นการสร้างผลประโยชน์ให้ตัวเองเท่านั้น
นอกจากนี้
คนดีมักไม่อยากถูกเกลียด จึงไม่กล้าปฏิเสธ
แม้ถูกขอร้องให้ทำงานแบบไม่คุ้มค่าจ้างก็ยังยอมทำ แถมยังประเมินตัวเองต่ำจึงไม่กล้าเรียกร้องผลตอบแทนที่เหมาะสมกับความเหนื่อยยาก
ตัวอย่างเช่น เราโดนเพื่อนจ้างให้ทำเว็บไซต์ให้ จึงเรียกค่าตอบแทนที่ถูกมาก
หรืออาจทำงานให้ฟรีๆ โดยพูดว่า “ฉันไม่ใช่มืออาชีพ ไม่ต้องให้ค่าตอบแทนหรอก”
การยอมทำงานด้วยค่าตอบแทนอันน้อยนิดอาจตกเป็นเหยื่อของคนฉลาดแกมโกงได้
และพวกเขามักจะแสดงความรู้สึกขอบคุณ เช่น “ขอบคุณนะ ช่วยได้มากเลย”
แล้วจบกันโดยไม่มีค่าตอบแทนอื่นๆ อีก
คนดีจึงมักคิดว่าการลงแรงของตนนั้นได้รับการตอบแทนเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
เลิก
“อดกลั้นไม่โต้ตอบ”
“ยังไม่มีแฟนอีกหรอ
น่าจะหาคนมาดูแลได้แล้วนะจะได้สบาย”
หากจู่ๆ
มีคนที่คุณไม่ค่อยสนิทด้วยสักเท่าไร มาพูดจาเสียมารยาทแบบนี้ คุณจะตอบอย่างไร
“เรื่องของฉัน”
คนทั่วไปอาจตอบแค่นี้
และรู้สึกไม่พอใจบ้าง แต่ถ้าตอบกลัวไปว่า “ฉันว่าคุณสบายเกินไปนะ
อีกอย่างฉันก็ยังไม่แก่สักหน่อย” คงสะใจไม่น้อย
แต่คนดีก็ยังเป็นคนดีอยู่วันยังค่ำ
เมื่อต้องเก็บกดทุกครั้ง ก็ย่อมทรมานและนอนไม่หลับไปเรื่อยๆ
ในที่ทำงานซึ่งมักให้ความสำคัญแก่การยึดหลักเหตุผล
จึงไม่ค่อยมีการบ่นหรือดุด่าอย่างไร้เหตุผลนัก
แต่สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่เป็นเรื่องส่วนตัว
เช่น สมาคมผู้ปกครอง สมาคมท้องถิ่น มักมีการแสดงความเกลียด ชอบโมโห พูดจาถากถาง
หรือวิพากษ์วิจารณ์กันเสมอ
คนไม่มีเหตุผลพวกนี้มักไม่รู้ตัวว่ากำลังพูดเรื่องไร้สาระและนึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ
ทั้งยังพยายามบังคับให้คนอื่นคิดเหมือนกัน ใครคิดต่างถือว่าผิดหมด
เมื่อเจอคนประเภทนี้ คุณต้องรู้จักตอบโต้ให้รุนแรงกว่า
ลองใช้คำพูดว่า
“แล้วยังไงล่ะ” ตอบโต้อีกฝ่ายดูสิ ตัวอย่างเช่น แม้จะมีคนพูดกับเราว่า “เรื่องนี้มันแย่ลงเพราะเธอคนเดียว”
ก็ให้ตอบไปว่า “แล้วยังไงล่ะ” ต่อให้เขาตอบมาว่า “เธอต้องรับผิดชอบ”
ก็ให้พูดต่อไปว่า “แล้วยังไงล่ะ” จนพวกเขาเหนื่อยและเลิกพูดไปเอง
เราต้องคิดเสียว่า
ถึงจะเถียงเรื่องไร้สาระแบบนี้ไม่ชนะก็ไม่เป็นไร
แต่หากเราจริงจังกับคำพูดของอีกฝ่ายเมื่อไร
เราก็ยิ่งตกหลุมพรางได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
ข้อมูลจากหนังสือ : เลิกเป็นคนดี แล้วจะมีความสุข
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น