พล.อ.อุดมชัย
ธรรมสาโรรัชต์ ที่ปรึกษาคณะพูดคุยสันติสุข เชื่อมั่นชาติตะวันตกเข้าใจการแก้ปัญหาความไม่สงบใน
จชต.ของรัฐบาล มั่นใจแนวทางกลุ่มเห็นต่าง BRN ทำร้ายเป้าหมายอ่อนแอ
สร้างความแตกแยก ขยายความขัดแย้ง หวังให้กองกำลังสันติภาพจากUN ลงมาร่วมแก้ปัญหาในพื้นที่เรียกร้องเอกราช เป็นเรื่องเพ้อฝันไม่มีหนทางที่เป็นไปได้เลย
พล.อ.วัลลภ
รักเสนาะ หน.คณะพูดคุยสันติสุข เดินทางกลับจากสวิสฯถึงประเทศไทย เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
หลังนำคณะไปร่วมหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับปลัดกระทรวงการตปท.สวิส และทีมงานผู้เชี่ยวชาญของรัฐบาลในเรื่องการสร้างสันติภาพจากทั่วโลก
นำบทเรียนจากหลายประเทศทั่วโลกที่มีปัญหาความขัดแย้งด้วยอาวุธนำไปสู่การพูดคุยแก้ปัญหาในแต่ละภูมิภาคมาหารือแลกเลี่ยนทัศนประสบการณ์ตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
ได้สัมภาษณ์
พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ ที่ปรึกษาคณะพูดคุยฯ อดีตแม่ทัพภาคที่สี่
ที่มีความรู้ความเข้าใจต่อสถานการณ์ความไม่สงบใน จชต. ซึ่งได้ร่วมคณะเดินทางไปแลกเปลี่ยนความเห็นกับผู้เชี่ยวชาญของทางสวิสฯ
ทำให้เกิดความเข้าใจที่ดีต่อการแก้ปัญหา จชต. ช่วยให้ทางสวิสมีความเข้าใจต่อกระบวนการทำงานแก้ปัญหาตลอดช่วงที่ผ่านมาของรัฐบาลไทย
และเห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลสวิสอาจติดต่อประสานพูดคุยกับทางรัฐบาลมาเลเซียและกลุ่มผู้เห็นต่าง
BRN
ในอนาคตเพื่อรับทราบจุดยืนทัศนของแต่ละฝ่ายที่อาจมีส่วนช่วยหนุนเสริมการแก้ปัญหาความไม่สงบใน
จชต.
จากการที่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนต่อกันทำให้มีความมั่นใจมากต่อแนวทางการต่อสู้ของ
BRN
ตลอดช่วงที่ผ่านมาในการทำร้ายเป้าหมายอ่อนแอ
ขยายความขัดแย้งในพื้นที่ หวังให้มีกองกำลังสันติภาพจาก UN เข้ามาร่วมแก้ไขปัญหาจชต.เป็นเรื่องที่ไม่มีความเป็นไปได้เลย
# สาเหตุที่รัฐบาลสวิสเชิญคณะพูดคุยฯไปร่วมแลกเปลี่ยนความเห็น
กระทรวงการ
ตปท.สวิสฯ มีผู้เชี่ยวชาญอยู่ในมือที่ติดตามสถานการณ์การสร้างสันติภาพจากทั่วโลก มีผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ในเรื่องการต่อสู้ในโคลอมเบีย
ซูดานใต้ ไอร์แลนด์เหนือ
ทั่วโลกทีมีความขัดแย้งและมีการแก้ไขปัญหาที่ประสบความสำเร็จไปแล้ว
ส่วนใหญ่ก็จะมาพูดถึงกระบวนการออกแบบสันติภาพเป็นหลัก
เชิญคณะพูดคุยของไทยไปรับฟังแลกเปลี่ยนความเห็นมุมมองต่อความพยายามสร้างสันติภาพใน
จชต.
# สวิสมองสถานการณ์ความไม่สงบในจชต.อย่างไร
เขามองว่ามันเป็นปัญหา
เล็กๆครับหลังจากที่เขาฟังข้อมูลจากเรา เปรียบเทียบกับที่อื่นๆ ของเรามันยังเด็กมาก
แต่มันอาจจะยังไม่เห็นมุมมองที่แท้จริงมันเลยออกจากปัญหามาก
ส่วนใหญ่เขาเห็นว่าควรให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เรียกว่า actor ทั้งหลายมีใครบ้างพยายามรวมให้เห็นว่ากลุ่มไหนมีส่วนร่วมที่จะมาร่วมในกระบวนการพูดคุย
# แนวโน้มในอนาคตการเข้ามาของชาติตะวันตกมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาจชต.
ไม่ถึงขนาดนั้น ขณะนี้ผมเห็นว่าทุกส่วนเห็นแล้วว่า
ความไม่สงบในประเทศชาติของเรามันไม่ใช่ความรุนแรงเมื่อเทียบก้บ โคลอมเบีย
ไอร์แลนด์เหนือ หรือซูดานใต้ พอเขาฟังเราแล้ว ทีแรกเขาคิดว่ามันรุนแรงมาก
แต่เมื่อบางส่วนได้เข้ามาสัมพันธ์กัน มารับฟังคำชี้แจงแล้ว
เขาเห็นว่ามันไม่ใหญ่โตถึงขนาดนั้น และแนวทางที่เราดำเนินการอยู่ มันก็ดีอยู่แล้ว
หนึ่งเราอยู่ภายใต้กฎหมายชัดเจนเลย สองเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชนเราก็มีความชัดเจน
จนท.เรามีความรู้มากขึ้นจากเดิมมาก รวมถึงจากประสบการณ์สมัยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเอามาประยุกต์ใช้ได้
ไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่ เขาอยากให้เห็นว่ากระบวนการแก้ไขแต่ละที่ มันมีตัวใหญ่คือใคร
การใช้คำถามพูดคุยกัน เพื่อให้เข้าใจแล้วนำไปขยายผลมันน่าจะเอามาประยุกต์ใช้ได้
ผมได้ไปร่วมพูดคุยกับเขา
ก็เห็นบางส่วนมันน่าจะมาดัดแปลงมาใช้ได้ด้วย ผมยกตัวอย่างเช่น อย่าง BRN เขากันคนอื่นไม่ให้เข้าวง พวก MARA ก็ดี PULO
ก็ดี กลุ่มอื่นๆก็ดี พวกนี้เราควรจะทำอย่างไร
มันก็มีข้อแลกเปลี่ยนครับ ตอนหารือพูดคุยเราก็ได้วิเคราะห์หารือกัน
เขาสงสัยก็ถามให้เราตอบเป็นอย่างไร ช่วยกันคิดด้วยกันจะหาทางออกอย่างไร
อย่างเช่นการที่ผู้เห็นต่างที่ทำผิดกฎหมายจะเข้ามามีส่วนร่วมหารือในจชต.ด้วย
มันเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมอย่างไร เช่นคนที่ผิดกฎหมายอยู่ อยากจะเข้ามา
เราก็มีคำถามว่าที่จะเข้ามามีจุดประสงค์อะไร เป็นการวิเคราะห์ มันจะเสียหายไหม
ถ้าคนทำผิดกฎหมายมาชี้แจง เรายืนยันถ้าคุณทำผิดกฎหมายมันเสียหายแน่นอน
แต่ถ้าคนอื่นที่ไม่มีส่วนในคดีความ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาสามารถมาพูดคุยกับมวลชน
แต่เราก็จับตาดูเป็นหลักใหญ่ครับ
(ปล.ระหว่างการพูดคุยสันติสุขท
มีสารัตถะในสามเรื่อง การลดความรุนแรง บทบาทของภาคปชส. และการแก้ปัญหาทางการเมือง
ในเรื่องบทบาทภาคปชส. ทาง BRN ต้องการส่งตัวแทนที่มีคดีอาญาติดตัว มีหมายป.วิอาญา มาร่วมพูดคุยกับภาค ปชค.
ถูดคัดค้านจากคณะพูดคุยฝ่ายไทย)
# มีข้อเสนอแนะอะไรต่อสถานการณ์ในพื้นที่
เขาอยากให้วิเคราะห์เป็นกระบวนจะได้เห็นทางออก
มีความยากลำบากค่อยๆ แก้ไขไป อย่างเช่นใครมั่งเป็นผู้แสดง แสดงเรื่องอะไร เรื่องที่มันเกี่ยวข้อง สมมติว่าแก้ไขไม่ได้
เช่นเรื่องเชื้อชาติ ที่เขาเอามาครอบไว้ มันควรจะทำอย่างไร
ออกแบบขบวนการเรื่องพวกนี้ ตัวละครในเรื่องที่เกิด เรื่องที่แก้ไม่ได้ควรจะออกแบบวางแผนอย่างไร ยกตัวอย่างเช่นการ ปลุกระดมในเรื่องของเชื้อชาติศาสนา
มันควรจะมีกระบวนการในการวาง แผนปฏิบัติและออกแบบและนำไปประมวลผลอย่างไร
ผมเห็นกระบวนระบบของเขาอย่างนั้น
นำเอามาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับเราน่าจะช่วยให้ครอบคลุมมากขึ้น
ซึ่งเรื่องพวกนี้เราทำอยู่แล้วเพียงแต่เราไม่ได้วางเป็นขบวน
มันอาจไม่ครอบคลุมตัวแสดงบางตัว เขามองดูว่าทำไมมันยุ่งยากซับซ้อน
แต่ความรุนแรงในจชต.มันไม่เท่าที่นู่น ทำไมแก้แล้วยังไม่บรรลุ เลยมาคุยกันเรื่องกระบวนการความรู้
ที่จะออกแบบ เขาก็ไม่คิดว่าเรามีความรู้ครอบคลุมเหมือนที่นั่น
เพียงแต่เราอาจยังจับกระบวนการยังไม่เพียงพอ แต่พอฟังแล้วก็เห็นว่าจัดกระบวนการเพียงพอ
โคลอมเบีย ต้องใช้เวลากี่ปี ซูดานต้องกี่ปี ไอร์แลน์เหนือกี่ปี
เขาก็เห็นว่าเราก็ก้าวหน้า เพียงแต่เราไม่ได้อธิบายเป็นกระบวนการอย่างที่เขาอธิบาย
# ความเป็นไปได้ที่เขาจะเชิญทางมาเลเซีย BRN ร่วมแลกเปลี่ยนความเห็น
ผมยืนยันมาเลเซียเป็นเพื่อนบ้านที่ดีของเรา
ถ้าเขามีความประสงค์จะคุยกับผู้อำนวยความสะดวกมาเลเซีย ก็ดีทางสมช.ของมาเลเซียก็ดี
มันเป็นเรื่องที่ดี มาเลเซียเขาก็อยากสงบ อาจจะได้มุมมองจากทางสวิสว่าเป็นอย่างนี้
ผมก็เห็นดีว่าทางฝ่ายที่เห็นต่าง เขาจะชวนไปพูดคุยให้ความรู้ แนวคิดอะไรนี่
เมื่อทุกคนคิดตรงกันมันอาจมีช่องทางที่ว่าเออใช่นะ
ไอ้เอกราชคงไม่มีทางเป็นไปได้หรอก จริงๆแล้วบางส่วนยังคิดเรื่องเอกราชอยู่
เราจะจับลงยังไง อะไรพวกนี้
# การทำร้ายเป้าหมายอ่อนแอในพื้นที่ของ BRN สวิสฯ มองอย่างไร
เขาก็มองว่าการทำร้ายเป้าหมายอ่อนแอมันต้องเกิดขึ้น
กดดันการพูดคุยให้ได้ประโยชน์ต่อเขา เป็นเรื่องปกติที่เราต้องแก้ไข
ทุกคนเห็นว่าเขาใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้องก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องดูแลให้ความปลอดภัย
ใครจะใช้วิธีแยบยลสกปรกอย่างไรก็เป็นหน้าที่ของเราต้องดูแลช่วยเหลือ ผมเคยบอกแล้วว่าใครที่มวลชนไม่เอาด้วยเมื่อไหร่
สักวันเขาแพ้แน่นอนเขาก็เห็นดีด้วยเรื่องพวกนี้ถ้าไม่มีมวลชนสนับสนุนนก็ตายแน่นอน
# บทบาททางยุโรปมามีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาจชต.
เป้หมายเดิมของ
BRN หรือกลุ่มก่อความไม่สงบ
เห็นว่ากำลังที่มีอยู่ไม่มีทางเอาชนะและแบ่งแยกเราได้
เขาก็ต้องใช้วิธีใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกวิธี เพื่อไปดึงทางต่างชาติ UN องค์กรทางยุโรปเข้ามากดดันพวกเรา เพื่อที่จะได้ในสิ่งที่เขาต้องการ
เขาหวังอย่างนั้น แต่พอได้พูดคุย ตอนหลังผมคิดว่าทางฝั่ง
ตต.เขาเห็นว่าประเทศไทยที่เป็นรัฐบาล มีความชอบธรรมในการปฏิบัติการภายใต้เงื่อนไขที่สากลรับได้ไม่ว่าในเรื่องกฎหมายสิทธิมนุษยชน
กฎหมายสากล ไม่ว่าในเรื่องของการเมือง การทหาร
การพัฒนาเรามีกำลังทหารไว้ทำหน้าที่ป้องปรามไม่ให้สถานการณ์มันลุกลาม
ผมว่าขณะนี้เขาคงเห็น ถ้าทางสวิสเอามาเลย์
BRN ไปคุย เขาคงจะเห็น แล้วคงคิดว่าช่องทางต่อรองไม่น่าทำแบบนี้เพราะมันแพ้อยู่แล้ว
มวลชนไม่เอาด้วยความหวังที่ว่าจะให้ UN เอากองกำลังสันติภาพเข้ามามันเป็นศูนย์อยู่แล้วครับ
# มุมุมองต่อการใช้กฎหมายพิเศษในจชต.
เขาเข้าใจเลยว่ากฎหมายพิเศษมีไว้ในยามที่สถานการณ์ไม่ปกติ
เพราะว่าบางเรื่องบางกระทรวงทบวงกรม การทำงานมันไม่เชื่อมโยง
เมื่อมีกฎหมายพิเศษมันสามารถเชื่อมโยงอะไรต่างๆได้ เขามองเห็น
เขาเห็นว่าเราใช้แล้วไม่ได้ละเมิดสิทธิมนุษยชน เราใช้แล้วมันไม่มีปัญหากับการประกอบอาชีพของ
ปชช.ทั่วไป ไม่ว่าการประกาศกฎอัยการศึก สถานการณ์ฉุกเฉิน
ห้ามออกนอกพื้นที่ก็ทำเฉพาะกรณีไม่ได้ทำพร่ำเพรื่อหรือขยายจน ปชช.เดือดร้อน
เขาเข้าใจจากการที่เราชี้แจง
ไอ้อันนี้มันเป็นอาวุธที่ฝ่ายตรงข้ามเขาเห็นว่าทำให้เขาเคลื่อนไหวยาก
เขาต้องโจมตีว่าเราต้องละเมิดสิทธิมนุษยชน เรื่องแบบนี้ทางสวิสเขาเข้าใจครับ
# ได้อะไรจาการแลกเปลี่ยน
ได้ความคิดที่เป็นกระบวนการ
โดยได้ตัวอย่างบางตัวอย่างกลับมาเช่นการมีส่วนร่วมของ actor หรือของตัวแสดงต่างๆ เราควรจะมาจัดวางใครก่อนหน้าหลัง
หรืออยู่ข้างล่างอย่างไร มันน่าจะทำให้ยืดหยุ่นในการพูดคุยส่งผล ไม่ใช่ BRN
คิดว่ามีแต่พวกเขาพวกเดียวแต่มันยังมีตัวละครกลุ่มอื่นๆพูดคุยให้เห็นว่าความเห็นสุดโต่งของ
BRN อย่างเดียวไม่น่าจะถูกต้อง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น