🏡🏠ตามรอย “บ้านมลายูปัตตานี”
มรดกทางวัฒนธรรมชายแดนใต้
กลุ่มสื่อมวลชน
เลขาฯชมรมภาคีสถาปัตย์ปัตตานี ผู้นำท้องถิ่น ศิลปิน และกลุ่มเยาวชนร่วม 40 ชีวิต จัดกิจกรรมรวมตัวเดินทอดน่อง "แลถิ่น ท่องอารยธรรม#1-
Wander Thru the Radiance 1"
สาระสำคัญของกิจกรรมคือนำชมเรือนมลายูทรงคุณค่าสำคัญ
บ้านที่เป็นเอกลักษณ์ “มลายูปัตตานี” ของ “กูรูกริช” สกุลช่างปัตตานีท่านสุดท้าย ณ
บ้านสือดัง ต.เตราะบอน อ.สายบุรี
เป้าหมายก็เพื่อศึกษา อนุรักษ์ไว้ และสร้างพื้นที่ให้เป็นศูนย์เรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ด้านศิลปะท้องถิ่น
เริ่มฟังเรื่องเก่า
เล่าอดีต “บ้านช่างกริช” โดย บรอเฮง ดอมะ นายกเทศมนตรีตำบลเตราะบอน
ผู้ที่เข้าใจลึกซึ้งกับวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์มลายู โดยเฉพาะ “ของดี”
ในท้องถิ่นสายบุรีมายาวนาน
ในอดีตเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เขาเคยผ่านงานผู้ช่วยวิจัยของชาวฝรั่งเศส ช่วยสืบเสาะหาข้อมูลรากวัฒนธรรมเดิมของท้องถิ่น
และยังเป็นหลานของ “ช่างเจ๊ะเฮง” ช่างกริชแห่งสกุลช่างปัตตานีด้วย
บรอเฮง
เล่าว่า เมืองสายบุรีมีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีของดีอยู่มาก
เพราะเคยเป็นหัวเมืองใหญ่ และเป็นจังหวัดเก่ามาก่อน ในสมัย 7
หัวเมือง สายบุรีจึงเป็นเหมือนดั่ง “เมืองน้อง” คู่กันกับสมัยนครรัฐปัตตานี
เป็นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งที่มีความหลากหลายด้านอารยธรรมและวัฒนธรรมของผู้คนทั้ง
3 ศาสนา ทั้งคนจีน คนพุทธ
และมุสลิมที่มีประชากรมากกว่าเพื่อน
ปัจจุบันศิลปวัฒนธรรมเดิมๆ
ที่ปู่ย่าตายายได้สร้างมา หลักฐานต่างๆ เริ่มสูญหายไปจากสายบุรี
จึงคิดว่าจะต้องทำบางอย่างให้วัฒนธรรมกลับมาอีกครั้ง จะผลักดันให้มี “พิพิธภัณฑ์”
หรือศูนย์กลางแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ขึ้นมาสักแห่งในสายบุรี
ในอดีต
“ช่างเจ๊ะเฮง และเซ็ง” เป็นช่างที่มีชื่อเสียงและมีความเชี่ยวชาญในด้านการทำกริชอย่างมาก
เนื่องจากเป็นงานที่หาช่างตีในแบบโบราณดั้งเดิมได้ยากมากๆ
เป็นที่ต้องการของตลาดนักสะสมของเก่าจำนวนมาก การทำกริชแต่ละเล่มนั้นใช้เวลายาวนาน
ผ่านขั้นตอนหลายอย่างและยุ่งยาก บางเล่มใช้เวลา 5 เดือน บางเล่มถึง
10 ปีก็เคยมี แต่บางเล่มกลับตีเสร็จภายในวันเดียว
ประวัติความเป็นมาของกริชว่าเกิดขึ้นเมื่อใด
ยังไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด บ้างก็ว่ากริชเกิดขึ้นในประเทศอินเดีย เดิมมีลักษณะตรง
ไม่คด ทำจากเขาเลียงผาชนิดหนึ่ง บ้างก็ว่าชาวมลายูจำลองรูปกริชจากเขี้ยวเสือ
โดยหลักฐานเก่าแก่ที่พบ ณ เทวสถานแห่งหนึ่ง มีอายุเก่าแก่ราว 600 ปี
สำหรับในประเทศไทย
มีปรากฏในจดหมายเหตุของ “ลาลูแบร์” ชาวฝรั่งเศส ที่เดินทางเข้ามาในเมืองไทย
ในรัชสมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ประมาณ พ.ศ.2236
กล่าวถึงอาวุธของไทยว่ามี “กริช” รวมอยู่ด้วย
“กริช” เป็นอาวุธประจำตัวที่เคยนิยมใช้กันในภาคใต้ของไทย ตลอดไปจนถึงชวา
มาเลเซีย และประเทศใกล้เคียง เคยเป็นอาวุธประจำชาติของชวาและมาเลเซีย
รวมทั้งถูกจัดอยู่ในเครื่องราชกกุธภัณฑ์อย่างหนึ่งของพระมหากษัตริย์ของทั้งสองประเทศมาก่อน
กริชยังเป็นเครื่องบ่งบอกถึงความเป็นชายชาตรี
ฐานะทางสังคม เศรษฐกิจ และยศฐาบรรดาศักดิ์ของผู้เป็นเจ้าของหรือวงศ์ตระกูลด้วย
ถือเป็นของสำคัญ สามารถใช้แทนตัวเจ้าบ่าวที่ติดภารกิจอื่นได้
และจะได้รับการพกพาติดตัวตลอด แม้แต่เวลาอาบน้ำหรือเข้านอน
สำหรับเรือนไม้มลายูของสายสกุลช่างกริชปัตตานีโบราณ
ซึ่งคณะผู้จัดกิจกรรมได้ไปเยือนในครั้งนี้ เป็นเรือนโบราณที่ทิ้งงานศิลปะไว้อย่างสวยงาม
เคยตระหง่านผ่านระยะเวลามาถึง 100 ปี และเคยได้รับรางวัล
“เรือนไม้มลายูดีเด่น” จากฝรั่งเศสในอดีต
มีการเก็บถ่ายภาพมุมต่างๆ
ของเรือนหลังนี้เพื่อนำไปถอดแบบในอนาคต หรือสร้างโมเดล
อาจนำไปสร้างใหม่หรือต่อยอดได้
อารีฟีน
ฮายีฮัสซัน ดีไซเนอร์เครื่องประดับ
นำภาพศิลปะตกแต่งบ้านหลังนี้ไปใช้ออกแบบลวดลายของเครื่องประดับ
ครูแวอารง
แวโนะ ศิลปิน ประธานกลุ่มเซาท์ฟรีอาร์ท
ที่ได้ตระเวนวาดงานศิลปะเพื่อสาธารณะประโยชน์ในพื้นที่
แสดงงานผ่านภาพวาดเชิงสันติภาพ ได้มาสะบัดฝีแปรงเก็บภาพสีน้ำ
ถ่ายทอดผลงานอย่างรวดเร็ว
ศิลปินรุ่นใหม่
ซาการียา ดือเระ ลงมือวาดภาพเป็นลายเส้นปากกาดำบนพื้นกระดาษขาว เขาเผยว่า
รู้สึกดีใจและตื่นเต้นมากที่ได้มาลงสนามวาดในพื้นที่ครั้งนี้ถือเป็นงานแรก
ส่วนใหญ่จะไปนั่งวาดยามว่างคนเดียว หรือวาดเก็บตามภาพถ่ายที่โพสต์กันผ่านเฟสบุ๊ก
ครั้งนี้ได้เป็นแรงบันดาลใจให้เยาวชนเข้ามาร่วมสังเกตการณ์อีกด้วย
“ผมนั่งวาดงานครั้งนี้ไม่เพียงบันทึกร่องรอยการดำรงอยู่ของเรือนมลายูเท่านั้น
แต่ยังถือเป็นการส่งต่อจากคนรุ่นก่อนให้เราได้ทราบความตั้งใจที่รู้สึกได้ว่า
บ้านอายุร้อยกว่าปีหลังนี้ผ่านการสร้างมายาวนานด้วยพลังผ่านการเลื่อยมือ
การใช้เครื่องมือของช่างสมัยนั้น
เช่นการหล่อปูนเพื่อสร้างความสวยสง่าบนลวดลายที่หน้าจั่ว
รู้สึกถึงความปราณีตและวิจิตรบรรจง
ผมหวังว่าการนำเสนอด้วยการวาดเส้นด้วยปากกาเพื่อบันทึกนำไปถอดแบบ เรียนรู้ประวัติ
และวิถีชีวิตของกูรูกริชศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ สกุลช่างกริชแห่งปัตตานีคนสุดท้าย
ไม่ให้รูปทรง ลวดลายมลายูสูญหายไปกับเวลา มีแค่ปากกากับกระดาษก็บันทึกไว้ได้
ใช้การลงเส้น สานเส้น ให้น้องๆ นักศึกษา หรือผู้สนใจนำไปต่อยอดต่อไป” ซาการียา
กล่าว
ขณะที่
เซาเดาะ และเซ็ง วัย 60 ปี เจ้าของเรือนมลายูหลังนี้ เล่าว่า อยู่มาตั้งแต่เกิด
ตอนนี้มีลูกกับหลานอยู่ด้วยกัน 5 คน
สภาพบ้านก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิด บ้านผุพังไปตามกาลเวลา ไม่ได้ซ่อมใหญ่
เพียงแต่เปลี่ยนไม้ปูพื้นที่ลานหน้าบ้านบ้าง ข้างในก็อยู่อาศัยกันตามปกติ
ด้าน
สุกรี มะดากะกุล อดีตเลขาฯชมรมภาคีสถาปัตยกรรมปัตตานี ผู้ริเริ่มกิจกรรมนี้ บอกว่า
ปัจจุบันเรื่องวัฒนธรรมมีค่าและมีความหมายที่แตกต่างกัน
ในมุมมองของคนเจนเนอเรชั่นใหม่ๆ การจัดกิจกรรมแบบนี้
ควรปลูกฝังให้คนรุ่นใหม่ได้รู้ว่าพวกเขามีงานศิลปวัฒนธรรมที่ผ่านกาลเวลามาจากรุ่นปู่ย่าตายาย
พื้นที่แห่งนี้มีอารยธรรมมาตั้งแต่ยุคลังกาสุกะ มัชปาหิต ปาตานียุคกรือเซะ
และปัตตานีช่วงมณฑล จนมาถึงปัตตานีปัจจุบัน
“บางคนถามถึงปัญหาความไม่สงบ และมักโยนเป็นข้ออ้างว่าทำไปก็ไม่น่าสนใจ
เป็นพื้นที่สุดขอบและด้อยพัฒนา เพราะไม่มีใครมาดู
ผมว่าความคิดในแง่ลบแบบนี้น่าจะทิ้งไปได้แล้ว มาช่วยกันหาทางอนุรักษ์ไว้จะดีกว่า
มีงานศิลปะท้องถิ่นอีกหลายงานที่ยังทำประโยชน์ สร้างงานสร้างรายได้อึกหลายแขนง
เช่น การผลิตกริชตายงสกุลช่างปัตตานี งานศิลปะที่ทำยากๆ เหล่านี้
ยังเป็นที่ต้องการมากๆ ของชาวมาเลเซีย อินโดนีเซีย และกลุ่มชาวตะวันตก”
“ถ้าเราลองประยุกต์ใช้เทคนิคใหม่ๆ น่าจะผลิตได้ทันใจ
เรายังมีงานประเภทอาหาร และงานศิลปะอื่นๆ ที่ไม่ถูกยกให้ทันสมัย
แต่นำไปปรับให้ขายได้ในอนาคต เพียงแต่ขาดคนรุ่นใหม่ที่จะมาช่วยคิด
ฉะนั้นต้องสร้างความตระหนักรู้และเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่นำไปต่อยอดให้เหมาะสม
และได้ประโยชน์จากงานศิลปะเหล่านี้ ส่วนภาพที่ได้มา 2
ภาพจากกิจกรรมที่จัดขึ้น จะนำไปประมูลให้ผู้สนใจ
และนำรายได้มาลงที่นี่เพื่อสร้างเป็นแหล่งสถานที่เรียนรู้ต่อไป” สุกรี กล่าว
ขณะที่
สมมาตร บารา นายอำเภอสายบุรี บอกว่า
เรือนหลังนี้ถ่ายทอดแนวคิดเชิงสถาปัตยกรรมมาถึงรุ่นลูกหลาน
แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองและการใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะของคนในพื้นที่
ทำให้สามารถเรียนรู้อดีตที่มีอารยธรรม มาถึงปัจจุบันที่มีความเจริญของเทคโนโลยี
แต่ความเจริญของสิ่งใหม่ๆ อาจทำให้คนรุ่นใหม่ลืมอดีต บรรพบุรุษ
ทั้งที่เป็นความสวยงามและวิถีของชาวมลายูที่ได้แยกเรื่องศาสนาออกจากนั้น จะเห็นได้จากศิลปะต่างๆ
ที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมและอิ่มเอมใจที่ผูกพันด้วยเครือญาติ
ซึ่งหายากในโลกปัจจุบัน
“ฉะนั้นการดูแลบ้านหลังนี้ให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมจึงควรช่วยกันทำต่อไป”
นายอำเภอสายบุรี กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น