ในช่วงปี 2553- ปี 2558 ที่ผ่านมา กระแสการจัดตั้งเขตปกครองพิเศษในพื้นที่ ที่ยังมีปัญหาของบ้านเราซึ่งคงหนีไม่พ้น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายแตกต่างทางวัฒนธรรม ประเพณี และความเชื่อ ทั้งระหว่างประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เอง และประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ และได้มีกลุ่มบุคคลได้ใช้ความแตกต่างนี้ มาเป็นเงื่อนไขในการสร้างความแตกแยก โดยการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ อย่างต่อเนื่องตลอด 8 ปีที่ผ่านมา เพื่อยกระดับความขัดแย้งไปสู่สากล และสร้างความชอบธรรมในการจัดการลงประชามติของประชาชนในพื้นที่ ในการปกครองตนเองโดยการแยกตัวเป็นเอกราช ซึ่งรัฐบาลที่ผ่านมาก็ได้พยายามแก้ไขปัญหานี้มาโดยต่อเนื่องทุกวิถีทาง โดยใช้แนวทางสันติวิธีเป็นหลักแต่ดูเหมือนว่าความพยายามสร้างสันติสุข ให้เกิดขึ้นในพื้นที่ เพื่อหยุดปัญหาเหล่านั้นจะยังคงไม่สัมฤทธิ์ผลเท่าที่ควร การสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐยังคงเกิดขึ้นอยู่เนืองๆ ขณะที่ความพยายามของกลุ่มบุคคลข้างต้นก็ยังใช้ทุกวิถีทางทั้งการปฏิบัติการทางทหาร และทางการเมืองตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ไปถึงระดับชาติ แล้วสร้างกระแสให้ขยายตัวไปถึงระดับสากลเพื่อขอการสนับสนุนจากกลุ่มประเทศต่างๆ ในการแยกตัวเพื่อปกครองตนเอง
ด้วยปัญหาที่ถูกมองว่าอาจไร้ทางออก
เขตปกครองพิเศษปัตตานีมหานคร จึงถูกจุดประกายและหยิบยก
ขึ้นมาเป็นทางเลือกท่ามกลางการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งสนับสนุนและไม่เห็นด้วย
ภายใต้การขับเคลื่อนเพื่อหาเสียงสนับสนุนโดยองค์กรภาคประชาสังคมในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ร่วมมือกับองค์กรทางวิชาการ จัดเวทีสาธารณะเพื่อรับฟังความต้องการของคนในพื้นที่
ร่วมถึงมีการร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการปัตตานีมหานครมาเป็นที่เรียบร้อย
โดยชูธงให้เห็นข้อดีของการเป็นเขตปกครองพิเศษคือ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ในฐานะ
“พลเมืองไทย” ทุกคนสามารถร่วมมือกันช่วยแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้แบบยั่งยืน
ด้วยกระบวนการทางการเมืองภาคประชาชนโดยใช้ช่องทางของรัฐธรรมนูญไทย
เพื่อกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ให้พึ่งพาตนเองและตัดสินใจในกิจการของท้องถิ่นที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่
อยู่ร่วมกันภายใต้ความหลากหลายทางชาติพันธ์ ศาสนา ภูมินิเวศน์และวัฒนธรรม
ใช้การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธี
โดยพิจารณาจากโครงสร้างพื้นฐานในท้องถิ่นให้ทั่วถึงและเท่าเทียมกัน
และร่วมกันออกแบบวัฒนธรรมอันดีทางการเมืองไทยในอนาคตเพื่อคนไทยรุ่นต่อไป
ซึ่งนั้นนับว่าเป็นเหตุผลที่ดีตามครรลองของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
ต่อประเด็นข้างต้นหากมองในด้านของการยุติปัญหาการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่แล้ว
นักวิชาการหลายท่านต่างออกมาระบุในทำนองเดียวกันว่า
การจัดตั้งเขตปกครองพิเศษปัตตานีมหานคร เป็นการหาจุดสมดุลระหว่างรัฐไทยที่ปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจ
ขณะที่ฝ่ายขบวนการก่อการร้ายต้องการแบ่งแยกดินแดนแล้วก่อตั้งเป็นประเทศเอกราช
หากประชาชนในพื้นที่เห็นด้วยกับการกำหนดอนาคตการเมืองการปกครองของตนเอง ในรูปแบบปัตตานีมหานครได้
ก็จะเป็นการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ไปด้วย
เนื่องจากฝ่ายขบวนการไม่สามารถหามวลชน ไปสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนได้ ซึ่งประเด็นสำคัญคือเป็นหนทางหนึ่ง
ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ไม่ใช่เพื่อการแบ่งแยกดินแดน
ประกอบกับการแก้ไขปัญหาความต้องการในการปกครองตนเอง ในลักษณะนี้มิได้เกิดขึ้นเพียงในประเทศไทยเท่านั้น
แต่หลายประเทศที่ประสบปัญหานี้ก็ได้ใช้แนวทางนี้ ในการแก้ปัญหาก็สามารถทำให้คลี่คลายลงได้
ด้วยความพอใจของทุกฝ่าย นี่เป็นอีกมุมมองหนึ่ง
ในอีกมุมมองเห็นว่า
การกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น โดยใช้หลักการจังหวัดจัดการตนเอง โดยประชาชนมีส่วนร่วมนั้นเป็นแนวทางที่ดีและสามารถแก้ปัญหาพิเศษเฉพาะพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ผ่านมามีข้อสังเกตที่สำคัญประการหนึ่งคือ
การที่มีพรรคการเมืองหนึ่งชูนโยบายการกระจายอำนาจโดยใช้โมเดล “นครรัฐปัตตานี”
เพื่อขอเสียงสนับสนุนในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จากประชาชนในพื้นที่ 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ท้ายที่สุดก็พ่ายแพ้การเลือกตั้งในพื้นที่นี้
ซึ่งนี่อาจเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่แท้จริง ของประชาชนในพื้นที่ได้ส่วนหนึ่งว่า
ต้องการการปกครองตนเองในลักษณะเขตปกครองพิเศษหรือไม่
ขณะที่ความชัดเจนเรื่องความต้องการหรือไม่
ต้องการปกครองตนเองของประชาชนในพื้นที่ยังไม่เด่นชัด ความพยายามขององค์กรภาคประชาชนที่เคลื่อนไหวสร้างกระแสสนับสนุนยังคงดำเนินต่อไป
ประเด็นหนึ่งที่ต้องยอมรับว่ากระแส “กลัวการกระจายอำนาจ”
ที่เกิดขึ้นในใจทั้งฝ่ายรัฐไทยและประชาชนในพื้นที่นั้นยังคงมีอยู่แน่นอน
ด้วยเพราะพื้นที่นี้มีปัญหาด้านความมั่นคงจากสถานการณ์ความไม่สงบอยู่
หากเดินหน้าจัดตั้ง “ปัตตานีมหานคร”
หรือโมเดลการปกครองท้องถิ่นแบบพิเศษอื่นในชื่อใดๆ ก็ตาม จะกลายเป็นการตั้ง
“เขตปกครองพิเศษ”
ซึ่งบรรดาผู้ที่จะเข้ามาบริหารนั้นแน่นอนว่าด้วยการต่อสู้ทางการเมืองในพื้นที่ ที่จะเกิดเพิ่มมากขึ้นเพื่อช่วงชิงอำนาจในการเข้ามาบริหาร
ผู้ที่จะสามารถเข้ามามีอำนาจได้ก็คือผู้ที่มีบทบาททางการเมืองสูงในพื้นที่อยู่ในปัจจุบัน
ซึ่งฝ่ายความมั่นคงเชื่อว่ามีความเชื่อมโยงของนักการเมือง ในพื้นที่กับขบวนการที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องเกื้อกูลกันอยู่
หากมีการจัดตั้งเขตปกครองพิเศษขึ้นในอนาคตอาจส่งผลบานปลายให้เกิดการ
“แบ่งแยกดินแดน” ได้ในท้ายที่สุด
อย่างไรก็ดี การเดินหน้าเรื่องปัตตานีมหานครโดยการขับเคลื่อนของรัฐบาลปัจจุบันในช่วงแรกของการเข้ามาบริหารประเทศนั้น
ยังไม่มีความความคืบหน้าเท่าที่ควร อาจเป็นเพราะปัญหาต่างๆ
ที่เข้ามารุมเร้าให้ต้องตามแก้เกิดมีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หรือเพราะการไม่ขานรับนโยบายเขตปกครองพิเศษปัตตานีมหานคร ของพรรคการเมืองนั้นในช่วงการเลือกตั้งก็ตาม
แต่ที่แน่ ๆ กระแสการกระจายอำนาจ และจัดตั้งองค์กรปกครองท้องถิ่นแบบพิเศษภายใต้รัฐธรรมนูญกำลังกลับมาเป็นประเด็นทางการเมือง
ที่ฝ่ายการเมืองทั้งในท้องถิ่นและระดับชาติ กำลังชิงไหวชิงพริบในการเข้ามามีบทบาท เพื่อสถาปนาฐานอำนาจทางการเมืองของพรรคตน
เพื่อปูทางไปสู่ชัยชนะทางการเมือง
ไม่ว่าการจัดตั้งเขตปกครองพิเศษในพื้นที่
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะใช้โมเดลการปกครองพิเศษแบบใด
จะสามารถดำเนินการให้เป็นรูปร่างตามแนวทางภายใต้รัฐธรรมนูญได้ในระยะเวลาอันใกล้หรือไม่
หรือเมื่อจัดตั้งเป็นเขตปกครองพิเศษแล้วจะเอื้อประโยชน์ให้กับใคร
การคำนึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชนในพื้นที่นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่ทุกฝ่ายต้องตระหนักและนำมาวิเคราะห์อย่างรอบคอบ
เพราะเหตุผลหลักที่ทุกฝ่ายบอกเป็นเสียงเดียวกันคือต้องการสร้างความสงบสุข ให้เกิดมีขึ้นในพื้นที่แห่งนี้มิใช่หรือที่เป็นสาระสำคัญที่นำมากล่าวอ้าง
และต้องการให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง แต่หากจัดตั้งแล้วไม่ส่งผลให้เกิดความสงบสุข
ตรงกันข้ามกลับเป็นชนวนเหตุของความขัดแย้งแย่งชิงอำนาจของนักการเมือง และกลุ่มผลประโยชน์ทั้งกลุ่มธุรกิจผิดกฎหมายและขบวนการ
ความใฝ่ฝันถึงความสงบสันติที่ประชาชนในพื้นที่ไขว่คว้าโหยหามายาวนานคงเป็นไปได้ยากนัก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น