การบังคับใช้กฎหมายต่อผู้ที่กระทำความผิดเริ่มเห็นผล คนชั่วไม่ลอยนวลอีกต่อไป ซึ่งก่อนหน้านี้การดำเนินคดีส่งตัวจำเลยฟ้องศาลเพื่อเอาผิดต่อผู้ก่อเหตุรุนแรง ศาลได้พิจารณายกฟ้องเกินครึ่งของคดีความทั้งหมด เนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ
ในปัจจุบันความเจริญด้านวิทยาศาสตร์ได้มีบทบาทในการติดตามหาตัวคนร้ายด้วยการตรวจหาสารพันธุกรรมดีเอ็นเอ
(DNA)
เพื่อใช้ในการยืนยันตัวบุคคล โดยมีหน่วยงานนิติวิทยาศาสตร์ของตำรวจ
เป็นหน่วยงานหลักในการพิสูจน์หลักฐานวัตถุพยานต่างๆ
และหาความเชื่อมโยงกับคดีความต่างๆ ที่ได้มีการเก็บไว้ในสารบบ ซึ่งจะเป็นหลักฐานสำคัญในการส่งตัวผู้ต้องสงสัยฟ้องต่อศาล
และนับว่าคงเป็นนิมิตหมายที่ดีนับต่อจากนี้ไปการติดตามจับกุมตัวผู้ก่อเหตุรุนแรง
เมื่อส่งตัวฟ้องศาลดำเนินคดี
สามารถเอาผิดจำคุกเพื่อให้บุคคลเหล่านั้นได้ชดใช้กรรมจากการกระทำความรุนแรงต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
และล่าสุดศาลจังหวัดนาทวี อ.นาทวี จ.สงขลา นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา
คดีคนร้ายปล้นเต็นท์รถมือสองในอ.นาทวี เมื่อปี 2560
เพื่อนำรถไปประกอบระเบิดคาร์บอมบ์ โดยศาลฎีกา พิพากษา ให้ลงโทษประหารชีวิต
และจำคุกตลอดชีวิตจำเลย โดยพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ ดังนี้
1.นายอัตนันท์
หรือนัน สะอิ จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ
ความผิดเกี่ยวกับก่อการร้ายฯ อั้งยี่, ซ่องโจร
ก่อให้เกิดระเบิด ความผิดต่อชีวิต พยายาม ความผิดต่อเสรีภาพ ปล้นทรัพย์
ศาลพิพากษาให้ประหารชีวิต
2.นายภาณุมาศน์
หรือจา หรือมะ หลีเส็น จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ
ความผิดเกี่ยวกับก่อการร้ายฯ อั้งยี่, ซ่องโจร
ก่อให้เกิดระเบิด ความผิดต่อชีวิต พยายาม ความผิดต่อเสรีภาพ ปล้นทรัพย์ ศาลพิพากษา
ให้จำคุกตลอดชีวิต
3.นายมะรอยี
หรือเปาซี หรือยี ราแดง จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ
ความผิดเกี่ยวกับก่อการร้ายฯ อั้งยี่, ซ่องโจร
ก่อให้เกิดระเบิด ความผิดต่อชีวิต พยายาม ความผิดต่อเสรีภาพ ปล้นทรัพย์ ศาลพิพากษา
ให้จำคุกตลอดชีวิต
4.นายฮารียะ หรือแซะ การี จำเลยที่ 4 มีความผิดฐาน ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ ความผิดเกี่ยวกับก่อการร้ายฯ อั้งยี่, ซ่องโจร ก่อให้เกิดระเบิด ความผิดต่อชีวิต พยายาม ความผิดต่อเสรีภาพ ปล้นทรัพย์ ศาลพิพากษา ให้จำคุกตลอดชีวิต
5.นายอับดุลมานัส
หรือมาน เจะเลาะ จำเลยที่ 5 มีความผิดฐาน เป็นอั้งยี่ ศาลพิพากษา ให้จำคุก 2 ปี 8
เดือน
การดำเนินการติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุรุนแรงของเจ้าหน้าที่
ได้มีการปฏิบัติเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนใดๆ ทั้งสิ้น
อีกทั้งหน่วยงานภาครัฐได้เปิดช่องทางและเปิดโอกาสให้กับผู้หลงผิดในการเข้าร่วมมอบตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ในปัจจุบันจากความเจริญทางเทคโนโลยี
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การยืนยันตัวบุคคลด้วยการตรวจหาสารพันธุกรรม
หรือที่เราเรียกว่า “นิติวิทยาศาสตร์”
ได้มีบทบาทในการมีส่วนช่วยในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นอย่างมาก
อีกทั้งกล้องวงจรปิดตามสถานที่สำคัญต่างๆ จะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในการมัดตัวส่งฟ้องศาล
หากผู้หลงผิดยังคงก่อเหตุไม่ยอมหันหลังให้กับขบวนการไม่วันใดก็วันหนึ่ง “ประตูเรือนจำ” พร้อมเปิดอ้าต้อนรับคนชั่วได้เข้าไปชดใช้เวรกรรมอย่างเช่น “นายอัตนันท์ สาอิ” และนักโทษทั้ง 4 ราย กับคำพิพากษาของศาล ประหารชีวิต -จำคุกตลอดชีวิต หมดสิ้นอิสรภาพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น