📌รู้หรือไม่? 9 ธันวาคม คือ “วันต่อต้านคอร์รัปชันสากล” ร่วมตระหนักต้านการทุจริต
รู้หรือไม่? ทุกวันที่ 9 ธันวาคม เป็น “วันต่อต้านคอร์รัปชันสากล” (International
Anti-Corruption Day) เพื่อสร้างความตระหนักของผู้คนในเรื่องการทุจริต
อันส่งผลกระทบต่อทั้งความมั่นคงของรัฐบาล
เสริมสร้างความเข้มแข็งขององค์กร/สถาบันที่ทำหน้าที่ต่อต้านหรือสอดส่องการทุจริตคอรัปชั่น
โดยจะต้องมีเงินทุนและทรัพยากรที่เพียงพอ และเป็นอิสระที่จะดำเนินการตามภารกิจหน้าที่ของตน
ซึ่งถือกำเนิดขึ้นหลังจากที่ประชุมใหญ่สมัชชาสหภาพสากล
(The
United Nation : UN) ที่มีมติเห็นชอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต
พ.ศ.2546 เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2546 จากนั้นประเทศภาคีสมาชิก จำนวน 191 ประเทศ
รวมทั้งประเทศไทยได้เข้าร่วมลงนามในอนุสัญญาระหว่างวันที่ 9 – 11 ธันวาคม 2546 ณ
เมืองเมอริด้า ประเทศเม็กซิโก
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักของผู้คนในเรื่องการทุจริต
อันส่งผลกระทบต่อทั้งความมั่นคงของรัฐบาล เป็นตัวถ่วงการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
ทั้งยังทำลายรากฐานของประชาธิปไตย และสร้างความตระหนักในบทบาทของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริตในการต่อสู้และป้องกัน
ดังนั้น
UN
จึงได้กำหนดให้ทุกวันที่ 9 ธันวาคมของทุกปีเป็น “วันต่อต้าน
คอร์รัปชันสากล” วัตถุประสงค์ของการจัดงานวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย)
ภายในวันที่ 9 ธันวาคมของทุกปี นับเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลจะรวมมือกับสำนักงาน
ป.ป.ช. องค์กรต่อต้าน คอร์รัปชัน (ประเทศไทย)
และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนร่วมมือกันทำงานเพื่อแสดงเจตนารมณ์มุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาการทุจริตอย่างต่อเนื่องและปลุกกระแสสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต
ภายใต้แนวคิด “Zero Tolerance คนไทยไม่ทนต่อการทุจริต”
โดยเน้นว่าถึงเวลาแล้วที่คนไทยต้องลุกขึ้นมาทำหน้าที่และปกป้องสิทธิของตนเอง
และประเทศไทย ด้วยการไม่ทนต่อการทุจริต มีจิตสำนึกที่ถูกต้อง ยึดมั่นในคุณธรรม
จริยธรรม และความพอเพียง พร้อมทำหน้าที่ตรวจสอบและเฝ้าระวังการทุจริต
เพื่อให้ประเทศไทยโปร่งใสและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
สำหรับอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต
ค.ศ. 2003 ได้กำหนดประเด็นความร่วมมือที่สำคัญของรัฐภาคี 3 ประการ ดังนี้
1.
ด้านมาตรการเชิงป้องกัน :ทุกประเทศต้องมุ่งป้องกันปัญหาคอร์รัปชั่นเป็นอันดับแรก
2.
ด้านการบัญญัติความผิดทางอาญา :ทุกประเทศต้องถือว่าการคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบคืออาชญากรรม
3.
ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ
:ทุกประเทศต้องให้ความร่วมมือในการทำให้อนุสัญญามีผลในทางปฏิบัติได้จริง
ทั้งนี้
เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา
องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติได้เผยแพร่คะแนนความโปร่งใส ปี 2563
ตามดัชนีวัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น (Corruption Perception Index) ซึ่งเป็นการวัดคะแนนจากหลากหลายแหล่งที่มา โดยไทยได้คะแนน 36 จาก 100
คะแนนเต็ม และอยู่ในอันดับที่ 104 จาก 180 ต่อเนื่องจากปี 2562 โดยอยู่ในลำดับที่
5 ของอาเซียน ขณะที่สิงคโปร์ได้ 85 คะแนนและอยู่ที่ดันอับที่ 3 ของโลก และอันดับหนึ่งของโลกเป็นของเดนมาร์กและนิวซีแลนด์ที่
88 คะแนน
ทั้งนี้
องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ มีคำแนะนำ 4 ข้อ ดังนี้
1.
เสริมสร้างความเข้มแข็งขององค์กร/สถาบันที่ทำหน้าที่ต่อต้านหรือสอดส่องการทุจริตคอรัปชั่น
โดยจะต้องมีเงินทุนและทรัพยากรที่เพียงพอ
และเป็นอิสระที่จะดำเนินการตามภารกิจหน้าที่ของตน
2.
จะต้องมีสัญญาการว่าจ้างที่เปิดเผยและโปร่งใสเพื่อป้องกันการกระทำที่มิชอบ
ชี้การขัดกันทางผลประโยชน์ และมีการตั้งราคาที่เป็นธรรม
3.
ต้องปกป้องระบอบประชาธิปไตยและพื้นที่ของพลเมือง (civic
space กล่าวคือ สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน)
เพื่อสร้างเงื่อนไขที่จะช่วยให้รัฐบาลต้องยึดมั่นกับการแสดงความรับผิดรับชอบ
4.
ต้องเผยแพร่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องสู่สาธารณะ
ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้.....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น