นับตั้งแต่ได้เกิดสถานการณ์ความรุนแรงขึ้นเมื่อปี
2547 จนถึงปัจจุบัน ยอดคดีความมั่นคงจากการรวบรวมสูงถึง 9,563 คดี
ความสูญเสียยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ยังมีขีดความสามารถที่จะปฏิบัติการก่อเหตุร้ายได้ตลอดเวลาต้องการสร้างความแตกแยกและความสูญเสียขึ้นในประเทศ
ด้วยวิถีทางแห่งความรุนแรง โดยมีเป้าหมายสุดท้าย (End state) เพื่อยกระดับปัญหาความรุนแรงภายในประเทศให้ไปสู่เวทีสากล
กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงใช้ประวัติศาสตร์รัฐปาตานี
ความแตกต่างด้านชาติพันธุ์ ภาษา
และวัฒนธรรมและมีการบิดเบือนหลักคําสอนศาสนามาเป็นเงื่อนไขในการปลุกระดม
ปลุกเร้าด้านความคิด ความเชื่อ โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนที่หลงผิด
ถูกชักจูงโดยกลุ่มชี้นําทางความคิดหรือนักปราชญ์ให้ความร่วมมือ
หรือตกอยู่ในภาวะจํายอมต้องอยู่ภายใต้อิทธิพลของแกนนําผู้ก่อความไม่สงบ
หรือนิ่งเฉยเพื่อความอยู่รอด เป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะพัฒนาเป็นกองกําลัง (RKK) หรือผู้กระทําผิดได้ในโอกาสต่อไป
โดยทำการคัดเลือกมาจากเยาวชนที่มีความประพฤติดี เรียนหนังสือเก่ง เคร่งครัด ศาสนา
เป็นที่รักของบิดา-มารดา และกลุ่มเพื่อน
ผลของการใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างสุดขั้วในรูปของการตรวจค้นและจับกุม
เมื่อพลิกดูข้อมูลคดีความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พบปัญหาหลักๆ 2
ประการด้วยกัน กล่าวคือ
หนึ่ง คือ
ความล่าช้าในกระบวนพิจารณา ซึ่งบางคดีเฉพาะในศาลชั้นต้นใช้เวลานานถึง 3-5 ปี
สอง คือ
คดีความมั่นคงจำนวนมาก ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง
ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ
ซึ่งฝ่ายตรงข้ามได้นำผลดังกล่าวมากล่าวหาโจมตีการใช้กฎหมายพิเศษ
และเรียกร้องให้มีการยกเลิกการบังคับใช้กฎหมายทั้งหมดในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
สถิตข้อมูล คดีความมั่นคงตั้งแต่ปี 2547 – ปัจจุบัน
ที่มา:
สำนักบังคับใช้กฎหมายและสิทธิมนุษยชนฯ
จำนวนผู้ต้องขังคดีความมั่นคงแยกตามเรือนจำแต่ละจังหวัด
ที่มา:
สำนักบังคับใช้กฎหมายและสิทธิมนุษยชนฯ
จากสถิติคดีความมั่นคงที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 จนถึงปัจจุบันพบมีมากถึง 9,563 คดี ไม่รู้ตัวคนร้าย
7,343 คดี ที่รู้ตัวคนร้ายในการก่อเหตุ 2,220 คดี ไม่สามารถดำเนินจับกุมตัวคนร้ายได้ 614 คดี
ดำเนินการจับกุมได้ จำนวน 1,606 คดี
เป็นที่น่าสังเกตว่าเมื่อพนักงานอัยการนำคดีพิจารณาในชั้นศาลแค่
697 คดีเท่านั้น จากคดีทั้งหมด 9,563 คดี
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อศาลได้ตัดสินอ่านคำพิพากษาแล้วสั่งลงโทษผู้ที่กระทำความผิดได้แค่
269 คดี
ที่ศาลสั่งยกฟ้องเนื่องจากเอกสารหลักฐานไม่เพียงพอมีถึง 428
คดี
จากคำพิพากษาของศาลที่ตัดสินคดีความมั่นคงที่เกี่ยวข้องการก่อเหตุรุนแรง
หลายคดีศาลได้สั่งยกฟ้องเนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ จึงเปิดช่องให้กลุ่มองค์กรภาคประชาสังคม (NGOs) สหพันธ์นิสิตนักศึกษานักเรียนและเยาวชนปาตานี หรือกลุ่ม PerMAS รวมทั้งมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม (MUSLIM ATTORNEY CENTRE
FOUNDATION) ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการยกเลิกกฎหมายพิเศษทั้งหมดที่บังคับใช้ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
โดยเฉพาะ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน)
โดยนำเงื่อนไขของการยกฟ้องของศาลมาทำการปลุกระดมเรียกร้องความยุติธรรมให้กับผู้ต้องหาคดีความมั่นคงทั้งหมด
กลุ่มขบวนการ
BRN
ได้ฉกฉวยโอกาสและใช้ประโยชน์จากเวทีการพูดคุยสันติภาพด้วยการนำเสนอข้อเรียกร้อง
5 ข้อต่อรัฐไทย (ข้อ 5
เรียกร้องให้มีการปล่อยตัวนักโทษที่ถูกคุมขังด้วยเหตุผลทางการเมือง
และยกเลิกหมายจับทั้งหมด) ซึ่งจะเห็นได้ว่าจากข้อเรียกร้องดังกล่าว ขบวนการ BRN
ให้ความสำคัญกับ RKK ซึ่งเป็นกองกำลังของตัวเองที่โดนจับกุมดำเนินคดีไม่ให้มีความผิด
และลบล้างความผิดทั้งหมดที่กลุ่มโจรใต้เหล่านี้ได้กระทำมา
สงสารประชาชนผู้ที่จะต้องทนแบกรับกับชะตากรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อ
เด็กกำพร้า หญิงหม้าย อีกหลายชีวิตที่จะต้องหมดอนาคต
สูญสิ้นความหวังร่างกายพิการจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เพราะน้ำมือจากการกระทำของโจรใต้ BRN เหล่านี้
แต่กลับมาเรียกร้องสร้างความชอบธรรมในการฆ่าคนให้กับตัวเอง เป็นพวกโจรไร้อุดมการณ์
ไร้ศาสนา และสุดโต่ง
ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินแก้
และจะยิ่งทำให้อุณหภูมิของไฟใต้ในพื้นที่ร้อนระอุเพิ่มขึ้นไปอีก
หน่วยงานด้านความมั่นคงที่รับผิดชอบแก้ปัญหาความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้
จำเป็นจะต้องใช้ขบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์ การเก็บรวบรวมหลักฐาน
พยานวัตถุในที่เกิดเหตุ หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในการสืบสวนสอบสวน
การเขียนสำนวนส่งฟ้องศาลจะต้องมีความรัดกุมเพิ่มขึ้น
เพื่อส่งผลในการพิจารณาคดีความของศาลจะได้ไม่ต้องพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากสำนวนอ่อน
ขาดหลักฐาน สร้างความเชื่อมั่นของกระบวนการยุติธรรมของศาลไทยกลับคืนมา
และนำตัวผู้กระทำความผิด ผู้ที่มีภัยต่อความมั่นคงของประเทศชาติ
มาลงโทษตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น