ตามที่มูลนิธิผสานวัฒนธรรม
โดย น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผอ.มูลนิธิผสานวัฒนธรรม/อดีต ผอ.องค์กรแอมนาสตี้
ประเทศไทย ได้เข้าร่วมกิจกรรม “กรุงเทพกลางแปลง” ตามแนวคิดผู้ว่า กทม. และได้ถือโอกาสฉายสารคดีสั้น
“เสียงจากชายแดนใต้” เมื่อ 14 กรกฎาคม 2565 ณ บริเวณศูนย์เยาวชนคลองเตย กทม. จำนวน
3 ตอน ดังรายละเอียดที่มีการเผยแพร่ผ่านสื่อโซเซียลอย่างกว้างขวางแล้วนั้น
จากเนื้อหาที่ถูกนำเสนอเป็นสารคดีสั้นดังกล่าว
หากผู้เสพข่าวไม่ได้รู้ถึงที่มาที่ไปของเรื่องราวดังกล่าวอย่างรอบด้านแล้ว
อาจมีความเชื่อว่าเจ้าหน้าที่รัฐได้แสดงพฤติกรรมนอกกระบวนการทางกฎหมายด้วยการย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติต่อคนมลายูมุสลิมในพื้นที่
จชต. ด้วยความโหดร้ายทารุณและป่าเถื่อน และอาจนำประเด็นดังกล่าวไปขยายผลตอกย้ำความรู้สึกเกลียดชัง
สร้างความขัดแย้งและความแตกแยกในสังคมให้เกิดรอยร้าวและเกิดความยุ่งยากในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่
จชต. มากยิ่งขึ้น
แต่เมื่อย้อนกลับไปดูเนื้อหาและตัวแสดงนำทั้ง
3 ตอน ในสารคดีดังกล่าวจึงไม่แปลกใจเลย เพราะตัวละครที่ปรากฏล้วนแต่เป็นบุคคลที่เคลื่อนไหวต่อต้านการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐต่อกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่มาอย่างต่อเนื่องซึ่งบุคคลเหล่านี้ได้ทำงานร่วมกันอย่างประสานสอดคล้องในการช่วยเหลือผู้ก่อเหตุรุนแรงให้รอดพ้นจากการถูกบังคับใช้กฎหมายด้วยการกล่าวหาบิดเบือนว่าถูกซ้อมทรมาน
ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ถูกเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ
เมื่อได้ทำการตรวจสอบของเนื้อหาที่ปราฏ
ในสารคดีดังกล่าวพบว่าเป็นเรื่องเก่าในอดีตที่กลุ่มด้วยใจ
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม
และองค์กรเครือข่ายได้เคยจัดทำเป็นรายงานสถานการณ์การซ้อมทรมานในพื้นที่ จชต.
อย่างเป็นทางการมาแล้วอย่างน้อย 2 ครั้ง คือเมื่อ 28 พ.ค. 2555 และเมื่อ 10 ก.พ.
2559 โดยเจ้าหน้าที่รัฐได้ประสานเพื่อร่วมทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ปรากฏ
แต่กลับไม่ได้รับความร่วมมือจากกลุ่มดังกล่าวและได้นำไปเผยแพร่ในสื่อต่างๆควบคู่กับการจัดกิจกรรม/นิทรรศการทั้งในและนอกพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้รูปแบบที่ถูกระบุในรายงานทั้ง 2 ครั้ง
นอกจากไม่ยินยอมให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว
ยังมีข้อสังเกตุในหลายประเด็นที่เป็นไปไม่ได้เช่น การล่วงละเมิด
ทางเพศ
การบังคับให้ทานสารเคมีและเชื้อโรค การใช้น้ำร้อนลวก การเผาไหม้ ใช้สัตว์มีพิษและล่าสุด
ได้กล่าวหาว่า
“ให้ทหารพรานหญิงทรมานด้วยการใช้นมปิดใบหน้าเพื่อให้ขาดอากาศหายใจ”หรือกล่าวหาว่าถูกทำร้ายร่างกายจนฟันหัก
กรามหัก ศีรษะแตก เป็นต้น
อย่างไรก็ตามเมื่อได้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดอย่างละเอียด
กลับไม่พบหลักฐานหรือสิ่งบ่งชี้ใดๆที่น่าเชื่อได้ว่ามีการซ้อมทรมานดังที่ปรากฏในรายงาน
จึงนำไปสู่การฟ้องดำเนินคดีกับ น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ, น.ส.อัญชนา หีมมิหน๊ะ และ นายสมชาย หอมละออ
ซึ่งเป็นผู้จัดทำรายงานในความผิดฐานหมิ่นประมาทและ พรบ. คอมพิวเตอร์เมื่อปี 2559
และได้มีความพยายามไกล่เกลี่ยคดีจนนำไปสู่การถอนแจ้งความ เมื่อปี 2560
แต่กลุ่มองค์กรดังกล่าวก็ยังคงเคลื่อนไหวบิดเบือนข้อเท็จจริงเรื่องการซ้อมทรมานด้วยการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเคลื่อนไหวที่หลากหลายมากขึ้นโดยล่าสุดได้จัดทำเป็นสารคดีสั้น
“เสียงจากชายแดนใต้” ซึ่งเป็นความพยายามนำวาทกรรมซ้อมทรมาน
ฉากละครป้ายสีที่ไร้หลักฐานในอดีต
มาผลิตซ้ำเพื่อสร้างความเกลียดชังและความแตกแยกในสังคมให้รุนแรงยิ่งขึ้น
จากการรวบรวมพฤติกรรมของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงและกลุ่มองค์กรเครือข่ายด้านสิทธิมนุษยชนพบความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยยะสำคัญโดยพบว่าทุกครั้งที่มีการบังคับใช้กฎหมายก็จะมีการร้องเรียนว่าถูก
จนท. ซ้อมทรมานส่งกระจายไปยังองค์กรต่างๆ
และจากการรวบรวมคำร้องของกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในห้วงปี 60-62 จำนวน 100
เรื่อง
และได้เดินทางลงพื้นที่เข้าพบบุคคลที่ถูกกล่าวอ้างเพื่อตรวจสอบข้อร้องเรียนแต่ไม่พบบุคคลใดที่ให้การว่าถูกซ้อมทรมานและส่วนใหญ่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีการร้องเรียน
นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบว่าข้อมูลที่ปรากฏในรายงานสถานการณ์ซ้อมทรมานส่วนใหญ่มาจากบุคคลที่ถูกดำเนินคดีแล้วมีการบิดเบือนข้อเท็จจริงว่าได้ถูก
จนท.ซ้อมทรมานให้รับสารภาพ เพื่อเป็นแนวทางในการต่อสู้คดีในชั้นศาล และต่อมาภายหลังได้มีการนำข้อมูลดังกล่าวมาจัดทำเป็นรายงานสถานการณ์การซ้อมทรมาน
จัดนิทรรศการและจัดทำสารคดีสั้นเผยแพร่เพื่อให้สังคมเชื่อว่ายังคงมีการซ้อมทรมานอย่างทารุณโหดร้ายในพื้นที่
จชต.
จากความสัมพันธ์ของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ปรากฏในสารคดีสั้นทั้ง 3 ตอน กับข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์จะเห็นได้ว่าล้วนเป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ที่ได้นำเรื่องราวเดิม ๆ ในอดีตที่ผ่านการตรวจสอบแล้วว่าไม่เป็นความจริง เป็นเพียงวาทกรรมปรุงแต่งใส่ร้ายป้ายสีในพื้นที่ จชต. มาจัดทำใหม่ในรูปสารคดีสั้นมาเผยแพร่ในช่วงสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในเวทีสภาที่กำลังเข้มข้น จึงถือเป็นโอกาสเหมาะที่ กลุ่มหิวแสงทางการเมืองจะกระโดดเข้าร่วมวงเพื่อโจมตีรัฐบาลและขยายฐานมวลชนอีกทางหนึ่งด้วย โดยไม่รู้ว่าอาจตกเป็นแนวร่วมมุมกลับให้องค์กรที่เคลื่อนไหวโจมตีการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐและคอยทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองสิทธิให้ผู้ก่อเหตุรุนแรงมาแล้วกว่า 18 ปี จนทำให้สังคมส่วนใหญ่เกิดความสงสัยว่ากลุ่มบุคคลเหล่านี้แท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงกลุ่มที่แบ่งหน้าที่กันทำ แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง win win ทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการคือ “ล้มล้างการปกครองและแบ่งแยกดินแดนออกจากประเทศไทย” ดังนั้นคงถึงเวลาแล้วที่คนไทยทุกคนจะต้องร่วมกันตรวจสอบและตีแผ่พฤติกรรมขององค์กรต่างๆเหล่านี้ที่ยอมเป็นทาสรับใช้กลุ่มทุนและองค์กรต่างชาติโดยหวังเพียงแค่เศษเนื้อในซอกฟัน ที่พวกเขาหยิบยื่นให้แล้วยอมขายชาติมาทำลายบ้านเกิดเมืองนอนที่บรรพบุรุษของเราได้หลั่งเลือดและสละชีวิตปกปักรักษาให้คนไทยได้อยู่อย่างสุขสบายจนถึงทุกวันนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น